journaling_our_journey on Nostr: หลายคนแก้ปัญหา “งานท่วมหัว” ...
หลายคนแก้ปัญหา “งานท่วมหัว” ด้วยการพยายามทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน
.
การแก้ปัญหาวิธีนี้อาจจะ “ได้ผล” ในกรณีที่งานหนึ่งเป็นงานที่ “ใช้ความคิด” ส่วนอีกงานหนึ่ง “ไม่ใช้ความคิด” (เช่น คุยโทรศัพท์กับลูกค้าขณะที่กำลังเดินถือเอกสารไปวางไว้ที่โต๊ะของหัวหน้า)
.
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาวิธีนี้ยากที่จะ “ได้ผล” ในกรณีที่แต่ละงานที่เราพยายามทำล้วนเป็นงานที่ “ใช้ความคิด” ทั้งหมด (เช่น เขียนอีเมลพร้อมๆกับฟังการนำเสนองาน)
.
เพราะสมองเราสามารถ “ประมวลผล” ได้ทีละอย่างเท่านั้น
.
หากเราพยายามฝืนทำงานที่ “ใช้ความคิด” ภายในเวลาเดียวกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ สมองเราจะ “โฟกัส” งานชิ้นที่หนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ (เช่น คิดว่าจะเขียนอีเมลประโยคต่อไปอย่างไรดี) จากนั้น สมองเราก็จะเปลี่ยนมา “โฟกัส” กับงานชิ้นที่สองเป็นระยะเวลาสั้นๆ (เช่น ฟังสิ่งที่คนนำเสนองานกำลังพูดอยู่สัก 2-3 ประโยค) และหลังจากนั้น สมองเราก็จะขยับกลับมา “โฟกัส” กับงานชิ้นแรกเป็นระยะเวลาสั้นๆอีก (เช่น คิดว่าจะเขียนอีเมลประโยคต่อไปอย่างไรดี)
.
สลับไปมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ
.
ผลลัพธ์ของการสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วนี้ก็คือ งานแต่ละอย่างที่เราทำจะออกมา “คุณภาพต่ำ” กันถ้วนหน้า (เช่น อีเมลที่เราส่งไปเต็มไปด้วยการสะกดคำที่ผิด แถมยังฟังไม่เข้าใจเนื้อหาการนำเสนอไปครึ่งนึงอีกด้วย)
.
พอเป็นแบบนี้ เราก็อาจจะต้องเสียเวลากลับไปแก้ไขงานที่เราทำอีกรอบ (เช่น กลับไปเขียนอีเมลใหม่ กลับไปฟังเนื้อหาการนำเสนอใหม่) ทำให้ปัญหา “งานท่วมหัว” ไม่ได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
.
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เราจะมีปัญหา “งานท่วมหัว” หนักขนาดไหน การแก้ปัญหาด้วยการพยายามทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากมันดูจะไม่ได้ช่วยให้ปัญหาเบาขึ้นแล้ว มันยังสามารถสร้างปัญหาเพิ่มเติมได้อีกด้วย
.
อ้างอิง
https://doi.org/10.1073/pnas.1611612115https://doi.org/10.1073/pnas.1611612115https://doi.org/10.1111/1467-8721.ep11509734https://doi.org/10.1177/0956797612471540https://doi.org/10.1371/journal.pone.0106698#จิตวิทยา #siamstr
Published at
2025-04-21 02:16:48Event JSON
{
"id": "4ba9256e2e63b27fb3e11e75a4b95b3ce13b5e01630f24e438481ab9a368d555",
"pubkey": "b6f9d31f224732a108e22eee19207431e343d514483e0f86aa7d4f7c8ab0904f",
"created_at": 1745201808,
"kind": 1,
"tags": [
[
"imeta",
"url https://image.nostr.build/7e6141fa738e8bcc3b3ab130130c16c4d137e8edafd6b1da780638a1016357c1.jpg",
"m image/jpeg",
"x 63ca17c993e93247dd0830887976a0d9c5f6ba6e84348f0fef86690252b20685",
"ox 7e6141fa738e8bcc3b3ab130130c16c4d137e8edafd6b1da780638a1016357c1",
"blurhash LQR{uu-ooyx]%MofjuWV_NtRWBRP",
"dim 940x788",
"thumb https://image.nostr.build/thumb/7e6141fa738e8bcc3b3ab130130c16c4d137e8edafd6b1da780638a1016357c1.jpg"
],
[
"t",
"จิตวิทยา"
],
[
"t",
"siamstr"
]
],
"content": "https://image.nostr.build/7e6141fa738e8bcc3b3ab130130c16c4d137e8edafd6b1da780638a1016357c1.jpg\n\nหลายคนแก้ปัญหา “งานท่วมหัว” ด้วยการพยายามทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน\n.\nการแก้ปัญหาวิธีนี้อาจจะ “ได้ผล” ในกรณีที่งานหนึ่งเป็นงานที่ “ใช้ความคิด” ส่วนอีกงานหนึ่ง “ไม่ใช้ความคิด” (เช่น คุยโทรศัพท์กับลูกค้าขณะที่กำลังเดินถือเอกสารไปวางไว้ที่โต๊ะของหัวหน้า)\n.\nอย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาวิธีนี้ยากที่จะ “ได้ผล” ในกรณีที่แต่ละงานที่เราพยายามทำล้วนเป็นงานที่ “ใช้ความคิด” ทั้งหมด (เช่น เขียนอีเมลพร้อมๆกับฟังการนำเสนองาน)\n.\nเพราะสมองเราสามารถ “ประมวลผล” ได้ทีละอย่างเท่านั้น\n.\nหากเราพยายามฝืนทำงานที่ “ใช้ความคิด” ภายในเวลาเดียวกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ สมองเราจะ “โฟกัส” งานชิ้นที่หนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ (เช่น คิดว่าจะเขียนอีเมลประโยคต่อไปอย่างไรดี) จากนั้น สมองเราก็จะเปลี่ยนมา “โฟกัส” กับงานชิ้นที่สองเป็นระยะเวลาสั้นๆ (เช่น ฟังสิ่งที่คนนำเสนองานกำลังพูดอยู่สัก 2-3 ประโยค) และหลังจากนั้น สมองเราก็จะขยับกลับมา “โฟกัส” กับงานชิ้นแรกเป็นระยะเวลาสั้นๆอีก (เช่น คิดว่าจะเขียนอีเมลประโยคต่อไปอย่างไรดี)\n.\nสลับไปมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ\n.\nผลลัพธ์ของการสลับกันไปมาอย่างรวดเร็วนี้ก็คือ งานแต่ละอย่างที่เราทำจะออกมา “คุณภาพต่ำ” กันถ้วนหน้า (เช่น อีเมลที่เราส่งไปเต็มไปด้วยการสะกดคำที่ผิด แถมยังฟังไม่เข้าใจเนื้อหาการนำเสนอไปครึ่งนึงอีกด้วย)\n.\nพอเป็นแบบนี้ เราก็อาจจะต้องเสียเวลากลับไปแก้ไขงานที่เราทำอีกรอบ (เช่น กลับไปเขียนอีเมลใหม่ กลับไปฟังเนื้อหาการนำเสนอใหม่) ทำให้ปัญหา “งานท่วมหัว” ไม่ได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด\n.\nด้วยเหตุนี้ ต่อให้เราจะมีปัญหา “งานท่วมหัว” หนักขนาดไหน การแก้ปัญหาด้วยการพยายามทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากมันดูจะไม่ได้ช่วยให้ปัญหาเบาขึ้นแล้ว มันยังสามารถสร้างปัญหาเพิ่มเติมได้อีกด้วย\n.\nอ้างอิง\nhttps://doi.org/10.1073/pnas.1611612115\nhttps://doi.org/10.1073/pnas.1611612115\nhttps://doi.org/10.1111/1467-8721.ep11509734\nhttps://doi.org/10.1177/0956797612471540\nhttps://doi.org/10.1371/journal.pone.0106698\n\n#จิตวิทยา #siamstr",
"sig": "b77f44df6e4b1120b15008efc8315c1ac1c2621ebe481659556365bb80761a1f593e5dce998c82816e2f4c2b0334cb75b205a53c32cb5971a42406d82d94acfe"
}