Riina on Nostr: ทำไมผู้คนถึงยอมรับทองคำ ...
ทำไมผู้คนถึงยอมรับทองคำ
ในปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า ทองคำนั้นเป็นโลหะมีค่า ที่ใครๆต่างก็ยอมรับ ผู้คนมากมายยินดีนำพลังงานและเวลาของพวกเขานั้นไปเก็บไว้ในทองคำ ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันโดยมิได้นัดหมายว่าทองคำนั้นมีค่า และคนส่วนมากก็มองว่าทองคำนั้นมีค่า โดยไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่า…ทำไม
บ้างก็ให้เหตุผลว่า ทองคำนั้นมีค่าในตัวเอง ทองคำนั้นราคาแพงขึ้นเสมอ ทองคำนั้นสามารถนำไปทำเครื่องประดับได้ พูดง่ายๆว่า จริงๆแล้ว ทุกคนต่างยอมรับทองคำโดยที่หลายคนก็ไม่ได้เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำว่า ทำไมทองคำถึงมีค่า แต่ที่ทุกคนมองว่ามันมีค่า เป็นเพราะใครๆ ต่างก็ยอมรับทองคำต่างหาก
ธาตุพื้นฐานทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักนั้น มีจำนวนทั้งหมด 118ธาตุ เมื่อเราตัดธาตุที่มีสถานะเป็นแก๊สออก ตัดธาตุจำพวกโลหะอัลคาไลออกเพราะความไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัดธาตุกัมมันตรังสีออกเพราะไม่เสถียรและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเหลือตัวเลือกไม่มากนัก สำหรับธาตุที่มีความเสถียรสูง ไม่ได้อยู่ในสถานะก๊าซ และไม่ใช่ธาตุกัมมันตรังสี ดังนั้นทองคำเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดจากทั้งหมด 118ธาตุพื้นฐาน
ด้วยคุณสมบัติหลายประการของทองคำ
- คุณสมบัติที่ทนทานต่อการสึกกร่อน(ไม่เป็นสนิม) ไม่ไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี
- ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เนื่องจากทองคำมีความอ่อนและเหนียวสูง สามารถขึ้นรูปได้ง่าย ซึ่งต่างจากอัญมณี จุดหลอมเหลวของทองคำที่อุณหภูมิ 1,064°C สามารถหลอมทองคำให้เป็นของเหลวและนำทองกลับมาขึ้นรูปและใช้ได้อีกตามต้องการ
- ความหายากแบบพอดีๆ(หาไม่ยากเกินไปและหาไม่ง่ายเกินไป) แต่ก็หายากพอที่จะทำให้คนที่มีทักษะทางด้านต่างๆ เลือกที่จะไม่ขุดทองและเลือกที่จะไปทำงานของตัวเอง ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าได้ง่ายกว่าการขุดทอง
ทองคำนั้นหายาก ทั้งยังตกน้ำก็ไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ วางทิ้งไว้ก็ไม่เป็นสนิม ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้แทบจะทำให้ทองคำนั้นเป็นอมตะ เพราะทองคำนั้นจะมีมวลเท่าเดิมอยู่เสมอ ทองคำนั้นจึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นสิ่งที่สามารถเก็บไว้และส่งต่อผ่านกาลเวลาไปยังคนรุ่นต่อไปได้โดยไม่เสื่อมสลายไป
สรุปที่ทองคำนั้นมีค่า เพราะคุณสมบัติของธาตุ ที่ทำให้ทองคำนั้นเหมาะสมที่จะถูกนำมาใช้เป็นเงิน เงินจะมีค่าจริงๆก็ต่อเมื่อสามารถนำไปแลกทรัพยากรได้ และการจะนำไปแลกทรัพยากรได้ ผู้ที่รับแลกนั้นต้องยอมรับทองคำ
เมื่อเราทราบคุณสมบัติของทองคำแล้ว แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนเริ่มต้นให้คุณค่าแก่ทองคำจนกลายเป็นที่ยอมรับ ใครกันที่ควรจะเห็นคุณค่าของทองคำแบบรู้ได้ด้วยตนเอง รู้แบบไม่ต้องมีใครมาบอก ใครกันที่ทำให้ผู้คนที่ไม่เข้าใจในทองคำด้วยซ้ำ หันมายอมรับทองคำโดยที่พวกเขาไม่ต้องเข้าใจมันก็ได้ ใครกันที่จะทำเช่นนั้นได้
ลองนึกย้อนกลับไปในอดีตกาล เศรษฐีในยุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเงินนั้น ไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะ แต่คือคนที่มีทรัพยากรเหลือเฟือ และการจะมีทรัพยากรเหลือเฟือได้นั้น คนๆนั้นต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะแข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า อดทนมากกว่า ค้นพบเร็วกว่า รวบรวมผู้คนได้เยอะกว่า ซึ่งมันทำให้เขามีทรัพยากรมากกว่า และตามมาด้วยอำนาจที่มากกว่า
พวกเขามีทรัพยากรมากมายเท่าที่อำนาจของเขาจะครอบครองไหว ทั้งแผ่นดิน ผืนน้ำ สิ่งต่างๆล้วนกินไม่หมดและใช้ไม่ทัน แต่ก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ ถึงบางอย่างจะเก็บเอาไว้ได้ แต่ก็เก็บได้ไม่นาน ทรัพยากรต่างๆที่แม้จะใช้หรือไม่ใช้ วันนึงก็จะสลายไปอยู่ดี ตัดไม้เก็บไว้ใช้ ใช้ไม่ทันไม้ก็ผุ จะผลิตเก็บเป็นอาวุธอุปกรณ์ต่างๆ วางทิ้งไว้สนิมก็กัดกิน ผลไม้ อาหาร หรือข้าวสารต่างๆ ถ้ากินไม่ทันก็เน่าเสีย เมื่อเกิดภัยธรรมชาติ น้ำท่วมหรือไฟไหม้ทรัพยากรต่างๆเหล่านี้ก็จะสูญไป ไม่เหลืออะไรเลย ปัญหาหนักใจของคนรวย คือมีทรัพยากรมากมาย แต่จะเก็บไว้ให้อยู่ได้ตลอดไปยังไงดี
ลองนึกภาพว่า เมื่อเศรษฐีได้พบกับคุณสมบัติที่พิเศษของทองคำและเมื่อเขาเข้าใจในความเป็นอมตะของมัน แน่นอนว่าเขาพร้อมที่จะครอบครองมัน แต่แล้วใครล่ะจะหาแร่ทองคำนี้มาให้เขา
ไม่ยาก…
ใครก็ตามที่หาแร่สีทองนี้มาให้เศรษฐี เขาก็ยินดีจะแบ่งปันอาหารและสิ่งต่างๆให้ ของที่เขากินไม่หมด ของที่เขาใช้ไม่ทัน ทรัพยากรที่เขามีอยู่มากมาย
เท่านี้ก็เพียงพอ ที่จะทำให้ผู้คนนั้น ยอมนำเวลาที่พวกเขามี ไปตามหาแร่สีทอง ถึงแม้มันจะกินไม่ได้ นำมาสร้างบ้านก็ไม่ได้ เอามาใส่แทนเสื้อผ้าก็ไม่ได้ มันไม่ได้ใกล้เคียงกับปัจจัยสี่เลยแม้แต่น้อย แต่… มันใช้แลกสิ่งต่างๆจากเศรษฐีได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่า เศรษฐีจะเอาแร่สีทองนี้ไปทำอะไร แต่ในเวลานี้เขายอมรับมันและทุกคนต่างก็ยอมรับมัน เพราะมันสามารถนำไปแลกสิ่งต่างๆที่พวกเขาต้องการได้
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคิดเหมือนกันไหม ว่าจริงๆแล้ว บางทีช่วงเวลาแห่งการยอมรับอะไรบางอย่าง(Adoption) มันไม่ได้ต้องรอให้ทุกคนบนโลก หรือคนส่วนมากนั้นเข้าใจมันทั้งหมดหรอก
อะไรก็ตามที่คุณสมบัติของมันนั้นพร้อมด้วยตัวมันเองแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่ร่ำรวยทรัพยากรนั้นให้การยอมรับ ในไม่ช้าผู้คนต่างก็จะยอมรับ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเข้าใจมัน แต่เป็นเพราะมันสามารถนำไปแลกทรัพยากรที่มีค่าจากผู้ที่มีอำนาจได้
ในบรรดาผู้คนทั้งหมด คนที่จะเข้าใจในเรื่องของ Store of value ที่สุด ดูจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากชนชั้นอีลิทหรือบรรดาเหล่าเศรษฐี ก็เพราะพวกเขานี่แหละ ที่เป็นกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งมากที่สุด มีมากจนล้น และพวกเขาต้องการที่เก็บ เก็บแบบใดก็ได้ที่ใช้ต้นทุนในการเก็บน้อยที่สุด ขนย้ายได้ง่ายที่สุด นำมาใช้ได้ง่ายที่สุด ปลอดภัยที่สุด ถูกขโมยหรือถูกยึดได้ยากที่สุด ไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่สูญหายไปพร้อมกับภัยพิบัติ
แน่นอนว่าในอดีต ทองคำคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอนต่างหาก การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งเกิดขึ้นอยู่เสมอ การคัดเลือกทางธรรมชาติในแต่ละยุคก็คงจะมีความแตกต่างกันออกไป และในวันนี้ทองคำไม่ใช่ตัวเลือกเดียวอีกต่อไป
โลกของเรามีสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติของการเป็นเงินที่ดี มีความสามารถในการเป็นที่เก็บรักษามูลค่า(Store of value)ที่เหนือกว่าทองคำ และเป็นหน่วยวัดได้(Unit of acount)ที่ดีกว่าเงินกระดาษ และมีความพร้อมที่จะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน(Medium of exchange)ที่ดีที่สุด ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้ในแบบรูปธรรม แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง และที่สำคัญคือไม่มีใครที่มีอำนาจควบคุมหรือบังคับมันได้เลย
หากเศรษฐีคนใดในวันนี้ที่ยังไม่เข้าใจในคุณสมบัติของเงินที่ดี ความมั่งคั่งของพวกเขา จะต้องถูกเคลื่อนย้ายไปสู่มือของบรรดาเหล่าหัวกะทิ ที่บางคนอาจจะไม่ใช่คนร่ำรวยในวันนี้ แต่บรรดาหัวกะทิเหล่านั้นจะกลายเป็นบรรพบุรุษของเหล่าเศรษฐีในยุคถัดไป
#siamstr
Published at
2023-11-08 21:07:53Event JSON
{
"id": "e72a16179930d8e9945bfce7b17328f639d72ebad0e575ecf791f41ca1363d88",
"pubkey": "0e06eec0b32f1db1031005dfdfc33fef39f33d966b8538464ca39d873212fb17",
"created_at": 1699477673,
"kind": 1,
"tags": [
[
"t",
"siamstr"
]
],
"content": "ทำไมผู้คนถึงยอมรับทองคำ\n\nในปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า ทองคำนั้นเป็นโลหะมีค่า ที่ใครๆต่างก็ยอมรับ ผู้คนมากมายยินดีนำพลังงานและเวลาของพวกเขานั้นไปเก็บไว้ในทองคำ ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันโดยมิได้นัดหมายว่าทองคำนั้นมีค่า และคนส่วนมากก็มองว่าทองคำนั้นมีค่า โดยไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่า…ทำไม\n\nบ้างก็ให้เหตุผลว่า ทองคำนั้นมีค่าในตัวเอง ทองคำนั้นราคาแพงขึ้นเสมอ ทองคำนั้นสามารถนำไปทำเครื่องประดับได้ พูดง่ายๆว่า จริงๆแล้ว ทุกคนต่างยอมรับทองคำโดยที่หลายคนก็ไม่ได้เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำว่า ทำไมทองคำถึงมีค่า แต่ที่ทุกคนมองว่ามันมีค่า เป็นเพราะใครๆ ต่างก็ยอมรับทองคำต่างหาก \n\nธาตุพื้นฐานทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักนั้น มีจำนวนทั้งหมด 118ธาตุ เมื่อเราตัดธาตุที่มีสถานะเป็นแก๊สออก ตัดธาตุจำพวกโลหะอัลคาไลออกเพราะความไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัดธาตุกัมมันตรังสีออกเพราะไม่เสถียรและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเหลือตัวเลือกไม่มากนัก สำหรับธาตุที่มีความเสถียรสูง ไม่ได้อยู่ในสถานะก๊าซ และไม่ใช่ธาตุกัมมันตรังสี ดังนั้นทองคำเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดจากทั้งหมด 118ธาตุพื้นฐาน\n\nด้วยคุณสมบัติหลายประการของทองคำ\n- คุณสมบัติที่ทนทานต่อการสึกกร่อน(ไม่เป็นสนิม) ไม่ไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี\n- ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เนื่องจากทองคำมีความอ่อนและเหนียวสูง สามารถขึ้นรูปได้ง่าย ซึ่งต่างจากอัญมณี จุดหลอมเหลวของทองคำที่อุณหภูมิ 1,064°C สามารถหลอมทองคำให้เป็นของเหลวและนำทองกลับมาขึ้นรูปและใช้ได้อีกตามต้องการ\n- ความหายากแบบพอดีๆ(หาไม่ยากเกินไปและหาไม่ง่ายเกินไป) แต่ก็หายากพอที่จะทำให้คนที่มีทักษะทางด้านต่างๆ เลือกที่จะไม่ขุดทองและเลือกที่จะไปทำงานของตัวเอง ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าได้ง่ายกว่าการขุดทอง \n\nทองคำนั้นหายาก ทั้งยังตกน้ำก็ไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ วางทิ้งไว้ก็ไม่เป็นสนิม ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้แทบจะทำให้ทองคำนั้นเป็นอมตะ เพราะทองคำนั้นจะมีมวลเท่าเดิมอยู่เสมอ ทองคำนั้นจึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นสิ่งที่สามารถเก็บไว้และส่งต่อผ่านกาลเวลาไปยังคนรุ่นต่อไปได้โดยไม่เสื่อมสลายไป\n\nสรุปที่ทองคำนั้นมีค่า เพราะคุณสมบัติของธาตุ ที่ทำให้ทองคำนั้นเหมาะสมที่จะถูกนำมาใช้เป็นเงิน เงินจะมีค่าจริงๆก็ต่อเมื่อสามารถนำไปแลกทรัพยากรได้ และการจะนำไปแลกทรัพยากรได้ ผู้ที่รับแลกนั้นต้องยอมรับทองคำ\n\nเมื่อเราทราบคุณสมบัติของทองคำแล้ว แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนเริ่มต้นให้คุณค่าแก่ทองคำจนกลายเป็นที่ยอมรับ ใครกันที่ควรจะเห็นคุณค่าของทองคำแบบรู้ได้ด้วยตนเอง รู้แบบไม่ต้องมีใครมาบอก ใครกันที่ทำให้ผู้คนที่ไม่เข้าใจในทองคำด้วยซ้ำ หันมายอมรับทองคำโดยที่พวกเขาไม่ต้องเข้าใจมันก็ได้ ใครกันที่จะทำเช่นนั้นได้\n\nลองนึกย้อนกลับไปในอดีตกาล เศรษฐีในยุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเงินนั้น ไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะ แต่คือคนที่มีทรัพยากรเหลือเฟือ และการจะมีทรัพยากรเหลือเฟือได้นั้น คนๆนั้นต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะแข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า อดทนมากกว่า ค้นพบเร็วกว่า รวบรวมผู้คนได้เยอะกว่า ซึ่งมันทำให้เขามีทรัพยากรมากกว่า และตามมาด้วยอำนาจที่มากกว่า\n\nพวกเขามีทรัพยากรมากมายเท่าที่อำนาจของเขาจะครอบครองไหว ทั้งแผ่นดิน ผืนน้ำ สิ่งต่างๆล้วนกินไม่หมดและใช้ไม่ทัน แต่ก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ ถึงบางอย่างจะเก็บเอาไว้ได้ แต่ก็เก็บได้ไม่นาน ทรัพยากรต่างๆที่แม้จะใช้หรือไม่ใช้ วันนึงก็จะสลายไปอยู่ดี ตัดไม้เก็บไว้ใช้ ใช้ไม่ทันไม้ก็ผุ จะผลิตเก็บเป็นอาวุธอุปกรณ์ต่างๆ วางทิ้งไว้สนิมก็กัดกิน ผลไม้ อาหาร หรือข้าวสารต่างๆ ถ้ากินไม่ทันก็เน่าเสีย เมื่อเกิดภัยธรรมชาติ น้ำท่วมหรือไฟไหม้ทรัพยากรต่างๆเหล่านี้ก็จะสูญไป ไม่เหลืออะไรเลย ปัญหาหนักใจของคนรวย คือมีทรัพยากรมากมาย แต่จะเก็บไว้ให้อยู่ได้ตลอดไปยังไงดี\n\nลองนึกภาพว่า เมื่อเศรษฐีได้พบกับคุณสมบัติที่พิเศษของทองคำและเมื่อเขาเข้าใจในความเป็นอมตะของมัน แน่นอนว่าเขาพร้อมที่จะครอบครองมัน แต่แล้วใครล่ะจะหาแร่ทองคำนี้มาให้เขา\n\nไม่ยาก…\n\nใครก็ตามที่หาแร่สีทองนี้มาให้เศรษฐี เขาก็ยินดีจะแบ่งปันอาหารและสิ่งต่างๆให้ ของที่เขากินไม่หมด ของที่เขาใช้ไม่ทัน ทรัพยากรที่เขามีอยู่มากมาย\n\nเท่านี้ก็เพียงพอ ที่จะทำให้ผู้คนนั้น ยอมนำเวลาที่พวกเขามี ไปตามหาแร่สีทอง ถึงแม้มันจะกินไม่ได้ นำมาสร้างบ้านก็ไม่ได้ เอามาใส่แทนเสื้อผ้าก็ไม่ได้ มันไม่ได้ใกล้เคียงกับปัจจัยสี่เลยแม้แต่น้อย แต่… มันใช้แลกสิ่งต่างๆจากเศรษฐีได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่า เศรษฐีจะเอาแร่สีทองนี้ไปทำอะไร แต่ในเวลานี้เขายอมรับมันและทุกคนต่างก็ยอมรับมัน เพราะมันสามารถนำไปแลกสิ่งต่างๆที่พวกเขาต้องการได้\n\nอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคิดเหมือนกันไหม ว่าจริงๆแล้ว บางทีช่วงเวลาแห่งการยอมรับอะไรบางอย่าง(Adoption) มันไม่ได้ต้องรอให้ทุกคนบนโลก หรือคนส่วนมากนั้นเข้าใจมันทั้งหมดหรอก\n\nอะไรก็ตามที่คุณสมบัติของมันนั้นพร้อมด้วยตัวมันเองแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่ร่ำรวยทรัพยากรนั้นให้การยอมรับ ในไม่ช้าผู้คนต่างก็จะยอมรับ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเข้าใจมัน แต่เป็นเพราะมันสามารถนำไปแลกทรัพยากรที่มีค่าจากผู้ที่มีอำนาจได้\n\nในบรรดาผู้คนทั้งหมด คนที่จะเข้าใจในเรื่องของ Store of value ที่สุด ดูจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากชนชั้นอีลิทหรือบรรดาเหล่าเศรษฐี ก็เพราะพวกเขานี่แหละ ที่เป็นกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งมากที่สุด มีมากจนล้น และพวกเขาต้องการที่เก็บ เก็บแบบใดก็ได้ที่ใช้ต้นทุนในการเก็บน้อยที่สุด ขนย้ายได้ง่ายที่สุด นำมาใช้ได้ง่ายที่สุด ปลอดภัยที่สุด ถูกขโมยหรือถูกยึดได้ยากที่สุด ไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่สูญหายไปพร้อมกับภัยพิบัติ \n\nแน่นอนว่าในอดีต ทองคำคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอนต่างหาก การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งเกิดขึ้นอยู่เสมอ การคัดเลือกทางธรรมชาติในแต่ละยุคก็คงจะมีความแตกต่างกันออกไป และในวันนี้ทองคำไม่ใช่ตัวเลือกเดียวอีกต่อไป\n\nโลกของเรามีสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติของการเป็นเงินที่ดี มีความสามารถในการเป็นที่เก็บรักษามูลค่า(Store of value)ที่เหนือกว่าทองคำ และเป็นหน่วยวัดได้(Unit of acount)ที่ดีกว่าเงินกระดาษ และมีความพร้อมที่จะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน(Medium of exchange)ที่ดีที่สุด ถึงแม้จะจับต้องไม่ได้ในแบบรูปธรรม แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง และที่สำคัญคือไม่มีใครที่มีอำนาจควบคุมหรือบังคับมันได้เลย\n\nหากเศรษฐีคนใดในวันนี้ที่ยังไม่เข้าใจในคุณสมบัติของเงินที่ดี ความมั่งคั่งของพวกเขา จะต้องถูกเคลื่อนย้ายไปสู่มือของบรรดาเหล่าหัวกะทิ ที่บางคนอาจจะไม่ใช่คนร่ำรวยในวันนี้ แต่บรรดาหัวกะทิเหล่านั้นจะกลายเป็นบรรพบุรุษของเหล่าเศรษฐีในยุคถัดไป\n\n#siamstr",
"sig": "86bcf775c0a977dae2b33c01a224315bc109476d26ec132cf4c5791c6b0c361592856b81444a0f60c4b72b6cac7217aa5f1d714147ee9a123b5ee0efe83b4822"
}