jattawa on Nostr: ...
ผมว่าป่ากับจักรยานคืออิสรภาพของเด็ก โดยไม่ต้องพึ่งพาระบอบหรือแนวคิดใด ผมมีความทรงจำมากมายกับธรรมชาติรอบตัวเพราะบ้านผมอยู่ในป่า ซึ่งมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น มันสอนผมให้เรียนรุ้ในหลายสิ่งเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็ก แต่มันเป็นคนละเรื่องกับการเรียนรู้ในโรงเรียน จักรยานคือยานพาหนะที่ไร้ขีดจำกัด เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมหาสารก็ไม่อาจเทียบเท่ากับพละกำลังจากแรงถีบของตัวผมเอง มันใช้ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเชื้อเพลิง และความสนุกเป็นแรงม้า ยิ่งสนุกมากยิ่งเคลื่อนที่เร็ว ยิ่งอยากรู้ยิ่งไปต่อ จักรยานพาผมลัดเลาะไปในที่ต่างๆทั้งขึ้นภูเขาข้ามแม่น้ำ มันไม่เคยเป็นภาระ จำได้ว่าครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนๆปั่นจนไปเจอน้ำตกธารเล็กๆแห่งหนึ่งบนภูเขา มันเป็นน้ำตกที่มีแต่หินเต็มไปหมด แล้วเราก็บังเอิญไปเจอเต่าขนาดประมาณฝ่ามือเต็มไปหมด ลายบนกระดองเต่ามันดูแปลกตากว่าเต่าที่เราเคยเจอ เห็นว่ามันสวยดี พวกเราเลยตัดสินใจจับพวกมันกลับบ้านกันคนละตัวเพื่อจะเอาไปเลี้ยงตามประสาเด็กที่กำลังตกอยู่ในจินตนาการว่าตัวเองคือนักสำรวจและคิดว่ายังไม่เคยมีใครเห็นพวกมันแน่นอน เมื่อกลับมาถึงบ้านทุกคนพวกเราจัดแจงหาพาชนะมาใส่น้ำและหาก้อนหินมาตกแต่งให้เหมือนบ้านที่พวกมันอยู่ พยายามหาอาหารมาให้พวกมันกิน แต่มันก็ไม่ยอมกิน พวกเราเฝ้าดูมันด้วยความสงสัยว่ามันเป็นเต่าชนิดไหนกันนะ ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตก็ไม่มีจะไปห้องสมุดก็ต้องนั่งรถเข้าไปในเมือง มันกินอะไรเป็นอาหารไม่รู้เลย พยายามหาหลายสิ่งมาให้มันกินแต่ก็ไม่เป็นผล มันไม่ยอมกินอาหาร ไม่เดินไปไหนด้วย อยู่นิ่งๆทั้งวัน อาจด้วยสัญชาติญาณมันบอกว่าเราไม่ควรเลี้ยงพวกมันละควรนำพวกมันกลับบ้าน พวกเราเลยตัดสินปั่นจักรยานกลับขึ้นไปบนน้ำตกแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อพาพวกมันกลับบ้าน เราสัมผัสได้ว่าพวกมันมีความสุขเพียงใดที่ได้กลับบ้าน แล้วเรามีความสุขเพียงใดที่ได้ขึ้นมาบนน้ำตกแห่งนี้อีกครั้ง ความทรงจำของผมมันบอกว่าน้ำตกแห่งนี้มันสวยงามแตกต่างจากน้ำตกทั่วไปเพราะมันมีเต่าเหล่านี้อยู่ เรานั่งดูเต่าเหล่านี้อย่างมีความสุข เห็นพวกมันเดินไปมาต่างจากตอนที่อยู่ในกะละมังที่เอาแต่ซึมเซา เมื่อขาเราสัมผัสกับน้ำที่เย็นช่ำ ตูดเราที่สัมผัสความชื่นจากหินที่เย็น สายลมอ่อนจากธรรมชาติรอบตัวเสียงใบไม้ที่เคล้าไปตามแรงลม แสงแดดอ่อนๆที่แทงทะลุใบไม้ยามที่มันปะทะกับสายลม มันทำให้เราเคลิบเคลิ้มจนอยากจะนอนหลับ บ้านของพวกมันช่างน่าอยู่เสียจริง ระหว่างทางกลับบ้านช่วงระหว่างทางลาดลงเขาจักรยานของผมอยู่เหนือการควบคุมมันเร็วจนผมไม่สามารถต้านทานได้ พร้อมกับเพื่อนที่ยืนเกาะใหล่อยู่ด้านหลังตรงท้ายรถ มันช่วยส่งให้ล้อหน้าของผมค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นจนหงายหลังตูดไถลไปกับพื้นกลิ้งกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง เป็นแผลเหวอะหว่ะเต็มตัว บาดแผลที่ก้นทำให้ผมทรมานอยู่ประมาณสองอาทิตย์เพราะทุกครั้งที่ตื่นนอนแผลมันจะแห้งติดกับกางเกงและผมต้องดึงมันออกทุกครั้ง เลยทำให้แผลหายช้า และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดไม่ให้แม่รู้เพราะกลัวจะโดนดุ จึงต้องรักษาแผลด้วยตัวเองและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมนึกไปถึงเต่าตัวที่ผมเอามันลงมาจากภูเขา ผมรู้ได้ทันทีว่าผมได้สร้างบาดแผลให้แก่พวกมัน และไม่รู้ว่าทุกครั้งที่มันนอนบาดแผลนั้นจะทำให้พวกมันทรมานหรือเปล่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่บาดแผลของผมแต่เป็นประสบการณ์ที่สอนให้ผมรับรู้ถึงความงดงามของธรรมชาติ ความงดงามของสายสัมพันธ์ในธรรมชาติ เป็นบทเรียนจากเจ้าป่าเจ้าเขาที่คอยสั่งสอนเด็กน้อยเหล่านี้ให้รู้จักความงดงามของชีวิต
ผมนึกไปถึงเพลงนิทานหิ่งห้อยของวงเฉลียง ที่ว่า หิ่งห้อยในกล่องตอนนี้เหมือนหนอนตัวหนึ่ง ไม่สวยดังซึ่งตอนอยู่ใต้ต้นลำพูส่องแสง ยายจึงยิ้มแล้วสอนตาม จะมองเห็นความงามที่จริง อย่าขังความจริงไม่เห็น อย่าขังความงาม
ในตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจหรอกแต่ผมรู้สึก ผมว่าเต่าตัวนั้นก็คงไม่ต่างจากหิ่งห้อย สุดท้ายแล้วน้ำตกแห่งนั้นก็กลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองที่ผมกับเพื่อนๆมักจะขึ้นไปนั่งเล่นทุกๆวันหยุด เราหายกันแล้วนะเจ้าเต่า ตอนนี้แผลเป็นที่ก้นฉันก็จางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว และฉันก็ปั่นจักรยานเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วด้วย
#siamstr
Published at
2025-02-05 06:33:36Event JSON
{
"id": "e0cc1f77edfc54f35b4547ba3569ccbe7b8673c9b3c443de010a10d70564fb57",
"pubkey": "c03c5690f4a3c5fadc7a1d7787736cf508ef61e83173bafab7c1bab2f5174e61",
"created_at": 1738737216,
"kind": 1,
"tags": [
[
"t",
"siamstr"
]
],
"content": "ผมว่าป่ากับจักรยานคืออิสรภาพของเด็ก โดยไม่ต้องพึ่งพาระบอบหรือแนวคิดใด ผมมีความทรงจำมากมายกับธรรมชาติรอบตัวเพราะบ้านผมอยู่ในป่า ซึ่งมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น มันสอนผมให้เรียนรุ้ในหลายสิ่งเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็ก แต่มันเป็นคนละเรื่องกับการเรียนรู้ในโรงเรียน จักรยานคือยานพาหนะที่ไร้ขีดจำกัด เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมหาสารก็ไม่อาจเทียบเท่ากับพละกำลังจากแรงถีบของตัวผมเอง มันใช้ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเชื้อเพลิง และความสนุกเป็นแรงม้า ยิ่งสนุกมากยิ่งเคลื่อนที่เร็ว ยิ่งอยากรู้ยิ่งไปต่อ จักรยานพาผมลัดเลาะไปในที่ต่างๆทั้งขึ้นภูเขาข้ามแม่น้ำ มันไม่เคยเป็นภาระ จำได้ว่าครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนๆปั่นจนไปเจอน้ำตกธารเล็กๆแห่งหนึ่งบนภูเขา มันเป็นน้ำตกที่มีแต่หินเต็มไปหมด แล้วเราก็บังเอิญไปเจอเต่าขนาดประมาณฝ่ามือเต็มไปหมด ลายบนกระดองเต่ามันดูแปลกตากว่าเต่าที่เราเคยเจอ เห็นว่ามันสวยดี พวกเราเลยตัดสินใจจับพวกมันกลับบ้านกันคนละตัวเพื่อจะเอาไปเลี้ยงตามประสาเด็กที่กำลังตกอยู่ในจินตนาการว่าตัวเองคือนักสำรวจและคิดว่ายังไม่เคยมีใครเห็นพวกมันแน่นอน เมื่อกลับมาถึงบ้านทุกคนพวกเราจัดแจงหาพาชนะมาใส่น้ำและหาก้อนหินมาตกแต่งให้เหมือนบ้านที่พวกมันอยู่ พยายามหาอาหารมาให้พวกมันกิน แต่มันก็ไม่ยอมกิน พวกเราเฝ้าดูมันด้วยความสงสัยว่ามันเป็นเต่าชนิดไหนกันนะ ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตก็ไม่มีจะไปห้องสมุดก็ต้องนั่งรถเข้าไปในเมือง มันกินอะไรเป็นอาหารไม่รู้เลย พยายามหาหลายสิ่งมาให้มันกินแต่ก็ไม่เป็นผล มันไม่ยอมกินอาหาร ไม่เดินไปไหนด้วย อยู่นิ่งๆทั้งวัน อาจด้วยสัญชาติญาณมันบอกว่าเราไม่ควรเลี้ยงพวกมันละควรนำพวกมันกลับบ้าน พวกเราเลยตัดสินปั่นจักรยานกลับขึ้นไปบนน้ำตกแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อพาพวกมันกลับบ้าน เราสัมผัสได้ว่าพวกมันมีความสุขเพียงใดที่ได้กลับบ้าน แล้วเรามีความสุขเพียงใดที่ได้ขึ้นมาบนน้ำตกแห่งนี้อีกครั้ง ความทรงจำของผมมันบอกว่าน้ำตกแห่งนี้มันสวยงามแตกต่างจากน้ำตกทั่วไปเพราะมันมีเต่าเหล่านี้อยู่ เรานั่งดูเต่าเหล่านี้อย่างมีความสุข เห็นพวกมันเดินไปมาต่างจากตอนที่อยู่ในกะละมังที่เอาแต่ซึมเซา เมื่อขาเราสัมผัสกับน้ำที่เย็นช่ำ ตูดเราที่สัมผัสความชื่นจากหินที่เย็น สายลมอ่อนจากธรรมชาติรอบตัวเสียงใบไม้ที่เคล้าไปตามแรงลม แสงแดดอ่อนๆที่แทงทะลุใบไม้ยามที่มันปะทะกับสายลม มันทำให้เราเคลิบเคลิ้มจนอยากจะนอนหลับ บ้านของพวกมันช่างน่าอยู่เสียจริง ระหว่างทางกลับบ้านช่วงระหว่างทางลาดลงเขาจักรยานของผมอยู่เหนือการควบคุมมันเร็วจนผมไม่สามารถต้านทานได้ พร้อมกับเพื่อนที่ยืนเกาะใหล่อยู่ด้านหลังตรงท้ายรถ มันช่วยส่งให้ล้อหน้าของผมค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นจนหงายหลังตูดไถลไปกับพื้นกลิ้งกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง เป็นแผลเหวอะหว่ะเต็มตัว บาดแผลที่ก้นทำให้ผมทรมานอยู่ประมาณสองอาทิตย์เพราะทุกครั้งที่ตื่นนอนแผลมันจะแห้งติดกับกางเกงและผมต้องดึงมันออกทุกครั้ง เลยทำให้แผลหายช้า และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดไม่ให้แม่รู้เพราะกลัวจะโดนดุ จึงต้องรักษาแผลด้วยตัวเองและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมนึกไปถึงเต่าตัวที่ผมเอามันลงมาจากภูเขา ผมรู้ได้ทันทีว่าผมได้สร้างบาดแผลให้แก่พวกมัน และไม่รู้ว่าทุกครั้งที่มันนอนบาดแผลนั้นจะทำให้พวกมันทรมานหรือเปล่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่บาดแผลของผมแต่เป็นประสบการณ์ที่สอนให้ผมรับรู้ถึงความงดงามของธรรมชาติ ความงดงามของสายสัมพันธ์ในธรรมชาติ เป็นบทเรียนจากเจ้าป่าเจ้าเขาที่คอยสั่งสอนเด็กน้อยเหล่านี้ให้รู้จักความงดงามของชีวิต\nผมนึกไปถึงเพลงนิทานหิ่งห้อยของวงเฉลียง ที่ว่า หิ่งห้อยในกล่องตอนนี้เหมือนหนอนตัวหนึ่ง ไม่สวยดังซึ่งตอนอยู่ใต้ต้นลำพูส่องแสง ยายจึงยิ้มแล้วสอนตาม จะมองเห็นความงามที่จริง อย่าขังความจริงไม่เห็น อย่าขังความงาม \nในตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจหรอกแต่ผมรู้สึก ผมว่าเต่าตัวนั้นก็คงไม่ต่างจากหิ่งห้อย สุดท้ายแล้วน้ำตกแห่งนั้นก็กลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองที่ผมกับเพื่อนๆมักจะขึ้นไปนั่งเล่นทุกๆวันหยุด เราหายกันแล้วนะเจ้าเต่า ตอนนี้แผลเป็นที่ก้นฉันก็จางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว และฉันก็ปั่นจักรยานเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วด้วย\n\n#siamstr",
"sig": "8e47de2c21d5b4ab757a7610a19c0014a0b54788990413005dba4f19e0583d92bd036554537768c0756aba134451158ddc465f66291d999fa07eb8170bb89085"
}