## ตัวหรือใจ ใครกันแน่ที่แพ้? (ภาค 2)
อันดับแรกขอเป็นกำลังใจให้คุณ Kasidis (npub133a…4r0r) ก่อนเลยนะครับ รวมไปถึงท่านอื่นๆ ใน #Siamstr ด้วย | ชีวิตเรามันจะมีปัญหาให้เราต้องคอยขบคิดอยู่ตลอดเวลาแหละ.. จนกระทั่งถึงวันที่เราพบว่า ต้นตอ ของปัญหาเกือบทุกอย่าง มันเกิดมาจาก ใจ ของเราเอง..
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์อยู่กับ "ตัว" หรือบริบทรอบกายที่เรานั้นอาจไม่ชอบมันเท่าไหร่นัก เอาเฉพาะงานประจำที่ทำกับองค์กรล่าสุดนี้ ก็ปาเข้าไป 15 ปีแล้ว (เกือบจะครึ่งชีวิต) ที่ผมนั้นกล้าพูดได้เลยว่า.. ไม่มีแง่ง่ามไหนในงานนี้เลย ไม่แม้แต่เรื่องเดียวที่ตรงจริตผม
คำถามก็คือ.. ผมอยู่มาได้ยังไงตั้งเกือบครึ่งชีวิต?
"ใจ" ของเราไม่ได้อยู่ที่นี่ เรามีฝัน มีแรงปราถนาบางอย่างที่คอยผลักดันเราไปในที่ ๆ อยู่กันคนละบริบทกับ "ตัว" ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ผมเคยทรมาน.. เคยฝืนที่จะออกโบยบิน.. เคยละเลยความเป็นจริง เพื่อเติมเต็ม "ใจ" ของตัวเองให้ชุ่มฉ่ำ
แต่ทุกครั้งที่ฝืน.. ทุกครั้งที่พยายามจนเกินความจำเป็น ผมกลับพบว่าตัวเองต้องนอนแผ่หลาอยู่ก้นทะเลใจในสภาพกำลังหมดสิ้นเรี่ยวแรง..
เมื่อต้องจมอยู่ก้นทะเลบ่อยเข้า ๆ ..ผมมีสภาพไม่ต่างอะไรกับบัวที่ซุกใต้ตม
ผมคงไม่ปล่อยให้ตัวเองนั่งเวทนาสภาพแบบนั้นไปเรื่อยๆ ผมเริ่มตั้งสติกลับมานั่งทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ทบทวนตัวผมเอง ค้นหาสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมด ผลแห่งการกระทำ อะไรนำพาสิ่งต่าง ๆ ให้เวียนเข้ามาพานพบกับตัวเรา
สำหรับกรณีของผม.. ผมพบว่าผม "ปฏิเสธ" ที่จะยอมรับและอยู่ร่วมกับ "ความเป็นจริง" เพราะเมื่อผมไม่ชอบสิ่งใด ผมจะเกลียดทุกอย่างที่เป็นสิ่งนั้น..
ในอดีตนั้น.. ผมเลือกที่จะไม่พยายามมองหาข้อดีใด ๆ ทั้งสิ้นในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ผมเอาแต่คิดว่าปรารถนาของผมคือสิ่งที่ประเสริฐและคู่ควรกับตัวผมเองมากที่สุด
ผมนี่แหละ..
ผมเองนี่แหละ ที่คอย "ถ่าง" ให้ตัวกับใจไกลออกไปจากกัน
ผมไม่พยายามหาจุดบรรจบของสองสิ่งนี้ เหมือนคน 2 กลุ่มที่กำลังพยายามเล่นชักเย่อกัน ด้วยแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี จุดจบของเรื่องนี้มันกฟ้คือต้องมีฝั่งหนึ่งที่กลายเป็นผู้แพ้ ในขณะที่ผู้ชนะก็แทบจะหมดแรง มือไม้แสบร้อน พุพองไปหมด หรือจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายกว่านั้นก็คือ..
ไม่มีวันที่ ตัวกับใจ จะหากันจนเจอ
วันที่ผมเข้าใจสัจธรรมในข้อนี้.. ผมเริ่มค่อย ๆ หันเหรียญอีกด้านเข้าหาตัวเอง หมุนมันมาปะทะกับสายตาและเพ่งพินิจพิจารณามันอย่างพิถีพิถัน..
เหรียญมันมีสองด้าน เราเองที่ปฏิเสธด้านสว่างของมันมานาน วันนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราจะลองค้นหาและลองสัมผัสกับแง่บวกจากสิ่งที่เราขยะแขยงมันมาตลอด
งานที่ผมเบื่อหน่าย.. ในอีกด้านหนึ่งมันก็มอบบทเรียนและประสบการณ์อันล้ำค่าให้กับผม
ผมเรียนรู้ใน "สิ่งที่ไม่ถูกต้อง"
เพื่อจะเข้าใจว่าอะไรจะพาเราไปยัง "สิ่งที่ถูก"
ผมได้เห็น "ความเละเทะของระบบ"
หรือก็คืออีกด้านหนึ่งผมกำลังได้เห็น "ระบบที่ควรเป็น" (ซึ่งคงจะอยู่กันคนละด้านกับระบบที่ผมเห็น)
ผมได้เรียนรู้และทำความรู้จักกับ "คนที่ไม่น่าคบ"
นั่นก็ทำให้ผมรู้ว่า "คนน่าคบ" ควรจะมีหน้าตาเป็นยังไง
ยังมีอีกหลายแง่มุมที่เราจะเรียนรู้จาก "ตัว" ได้ เพียงแค่เราลองเปิดใจและไม่พยายามจะปฏิเสธมันตั้งแต่แรก
เพราะเมื่อเราเติบใหญ่เราจะเข้าใจได้เองว่า เรากำหนดทุกอย่างรอบตัวไม่ได้ เรามีชีวิตในแบบของเราเอง ยังไงมันก็ไม่มีทางจะเหมือนคนอื่น ที่ชีวิตเราต้องเป็นแบบนี้มันก็ย่อมมีเหตุและผลของมัน เข้าใจมันให้ได้ และท้ายที่สุด..
...อยู่กับมันให้ได้
หลังจากนั้น.. ผมพยายามคิดวิเคราะห์ว่าผมจะพา "ตัวกับใจ" ของผมมาเจอกันได้อย่างไร?
ซึ่งผมรู้ดี.. รู้อยู่เสมอว่าเมื่อไหร่ที่เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น จุดที่ทั้งสองอย่างเริ่มสมดุลกัน ผมจะมีความสุข
ผมเริ่มเรียนรู้ว่า.. แทนที่ผมจะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงหลังเลิกงานไปกับการนอนคิดคร่ำครวญ โทษดิน โทษฟ้า (โทษแม่งทุกอย่าง นอกจากตัวเอง) หรือแค่ใช้เวลาที่มีค่าไปกับการสบถและตัดพ้อ ถ่มถุยชีวิตตัวเองไปวันๆ ซึ่งก็มักจะให้โทษกับตัว ให้พลังลบมากกว่าพลังบวก
ผมควรเอาเวลาพวกนั้นมาสร้างบันได ที่จะพาผมไปสู่สิ่งที่ใจผมปราถนาได้..
เรียนรู้ ค้นคว้า ฝึกตน เพื่อเพิ่มพูนทักษะที่ผมคิดว่า มันจำเป็นต่อการทำให้เกิดสิ่งนั้น ตามหาผู้คนที่จะเข้าร่วมกับเราในเส้นทางฝัน ควบคู่ไปกับการที่ผมยังคงทำงานประจำไปด้วยอย่างตระหนักรู้ ยอมรับสิ่งรอบตัวและเลิกพยายามตอบคำถามบางอย่าง ที่แม่งพอได้คำตอบไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ผมไม่หนี ผมไม่ดิ้น ผมไม่ขัดขืน ..แต่ผมเริ่มร่ายรำ
ผมเริ่มวางแผนบริหารจัดการเวลาและแรงกายของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (ที่อยู่นอกเหนือจากเวลาของงานประจำ) เริ่มเตือนตัวเองว่าสิ่งที่กำลังพยายามทำเพิ่มอยู่นี้ วันหนึ่งมันจะพาเราไปสู่เหตุการณ์อะไร เหตุการณ์ที่ใจเราไขว่คว้ามาตลอดนั่นแหละ
ถ้าผมไม่เคยพยายามเอาเวลาไปศึกษาเรื่องการลงทุน ไม่พยายามศึกษาประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การบริหารจัดการทรัพยากร บริหารคน จิตวิทยา ความเป็นผู้นำ การเจรจาต่อรอง เทคนิคการพูด การจับใจความ การเขียน การนำเสนอ การตลาด บัญชี ภาษี กฏหมาย หุ้น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ บทเรียนของคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว วรรณกรรมสามก๊ก เรียนคอร์สผู้ประกอบการ เรียนต่อวิทยาการคอมพิวเตอร์ หัดพัฒนาโปรแกรม วิเคราะห์ระบบ ออกแบบซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ คุมโปรเจคอิมพลีเม้นท์ซอฟแวร์ในองค์กรระดับพันคน ทำโปรเจคสตาร์ทอัพนับสิบ เสนอโปรเจคต่อหน้านักลงทุนหลายร้อยคน เป็นที่ปรึกษาให้กิจการต่างๆ เปิดร้านกาแฟเอง เปิดกิจการส่วนตัวนั่นนี่ ฯลฯ
ยังมีอีกหลากร้อยสารพัดเรื่องราวที่ผมเรียนรู้เอง ศึกษาเอง ครูพักลักจำมา ลองผิดลองถูกเอง ผิดบ้าง สำเร็จบ้าง ฝันค้างบ้าง ประสบมาทุกรูปแบบ โหด มันส์ ฮา ครบรส ผ่านผู้คนมาก็มาก ทั้งดี ทั้งแย่..
ถ้าผมไม่เอาเวลาที่เหลือในแต่ละวันตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาไปเก็บประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้ คำถามคือ..
วันนี้ผมจะเป็น Jakk Goodday
เป็นคนที่ อ.พิริยะ เลือกจะลองให้โอกาสได้ไหม?
ทั้งหมดที่ผมทำ ผมได้ทำเพื่อความฝัน เพื่อตามหา "ใจ" ในขณะที่ยังคงอยู่กับ "ตัว" ใช่หรือเปล่า?
และถ้าผมท้อแท้ สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากมาตั้งแต่ต้น.. ผมจะมีพลังส่งมากพอที่จะพาตัวเองมาถึงตรงนี้ไหม?
ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผม และย้อนกลับไปดูเรื่องราวของผมในอดีต ผมมีต้นทุนชีวิต และบริบทรอบตัวที่ไม่น่าจะเอื้อให้เกิดสิ่งเหบ่านี้เลยใช่ไหม?
"วัยแห่งความฝัน" มันมีอยู่เพื่อบอกกับเราว่า.. วันที่เราฝัน ตัวเรานั้นเป็นเช่นไร ฝันของเราคืออะไร เพราะถ้าฝันนั้นเป็นจริงตั้งแต่ต้น เราจะไม่เรียกมันว่า "วัยแห่งความฝัน" มันควรจะถูกเรียกในชื่ออื่น..
คุณค่าแห่งวัย คือ ประสบการณ์ที่จะผ่านเข้ามา
จงเรียนรู้ที่จะอยู่เพียงให้ "ตัวกับใจ" เป็นมิตรแท้ของกันและกันไปตลอดกาล..
"ลิขิตฟ้า" มิอาจหาญกล้าสู้ "มานะตน" | มานะ ไม่เกิดตราบใดที่เราไม่ยอมปล่อยวางและเริ่มตระหนักรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อจะละทิ้งมันและพาตัวเองก้าวไปข้างหน้า
ชีวิตไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย
ต่อให้เกิดภายในวัง ชีวิตของคุณก็จะไม่ง่าย
ผมเป็นกำลังใจให้ฟอดใหญ่ๆ เลยนะครับ