ผมอิจฉาสังคมสมัยก่อนที่เวลาใครขาดเหลืออะไรก็จะมาขอกันตามบ้าน แบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆ กันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะสามารถช่วยได้
บ้านก็ไม่ต้องมีรั้วรอบขอบชิดอะไร มีอะไรก็ช่วยกันดูแล อยู่กันแบบเป็นเพื่อนเป็นพี่
เป็นน้องกัน ต่างจากสังคมสมัยนี้ที่ทุกอย่างล้วนเป็นเงินเป็นทองหมด ทำให้สังคมเรา
เห็นแก่ตัวมากขึ้น
ในวัยเด็ก ผมมักได้ยินเรื่องราวจากคุณตากับคุณยายที่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสังคมในสมัย
ก่อน พวกท่านเล่าว่าในยุคนั้น คนในหมู่บ้านรู้จักกันหมด ทุกบ้านไม่มีรั้วกั้น เวลาทำงาน
ก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครคิดว่าต้องได้รับสิ่งตอบแทน เพียงแค่ได้ช่วยเหลือกันก็
ดีใจแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันผมคิดว่าน่าจะคล้ายๆ การช่วยงานบุญที่วัด
ครั้งหนึ่ง ผมจำได้ว่าคุณยายเล่าว่ามีบ้านหนึ่งในหมู่บ้านที่ลูกหลานไม่อยู่บ้าน พ่อแม่อยู่
กันสองคนแก่ๆ วันหนึ่งมีการจัดงานเลี้ยงที่บ้านนั้น คนในหมู่บ้านก็ช่วยกันนำอาหารมา
เสริม ไม่ว่าจะเป็นขนม ผลไม้ หรือกับข้าว บางคนยังช่วยทำความสะอาดบ้านให้เจ้าของ
บ้านอีกด้วย ไม่มีใครคิดว่าเป็นภาระ ทุกคนเต็มใจที่จะช่วยกัน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสามัคคี
แต่ในยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นเรื่องของเงินทอง ทุกคนต่างทำงาน
หนักเพื่อหาเงินซื้อของที่ตัวเองต้องการ เวลามีใครขาดเหลืออะไรก็ไม่ได้ขอความช่วย
เหลือจากเพื่อนบ้านเหมือนเดิม เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นภาระ หรือบางครั้งก็กลัว
ว่าจะไม่ได้รับการช่วยเหลือกลับ
ในสังคมที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนเริ่มห่างหายไป การช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็
เริ่มลดน้อยลง ทุกคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง บ้านแต่ละหลังมีรั้วรอบขอบชิด ปิดกั้น
ไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง บางครั้งผมก็รู้สึกเหงาและคิดถึงความอบอุ่นของสังคมในสมัยก่อน
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาสังคมสมัยก่อนที่ทุกคนมีความสัมพันธ์ที่
แน่นแฟ้นและเต็มไปด้วยความเมตตา หากเราสามารถนำความอบอุ่นและความช่วย
เหลือซึ่งกันและกันกลับมาในสังคมปัจจุบันได้ โลกนี้ก็คงจะน่าอยู่มากขึ้น คนจะรู้จักกัน
และดูแลกันมากขึ้น ความเหงาและความเห็นแก่ตัวก็จะลดลง ผมหวังว่าเราจะสามารถ
กลับไปสู่สังคมแบบนั้นอีกครั้ง แม้ว่าอาจจะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนเดิม แต่ก็ขอให้มี
ความรักและความเอื้อเฟื้อกันมากขึ้นแค่นี้ก็พอ
#Siamstr