Why Nostr? What is Njump?
2024-09-21 03:35:28

kungcoffee on Nostr: ...

บทความแปลการบรรยายอันแรกของผม ฉลองเช้าวันเสาร์แก่ทุก ๆ คน ^^


"บิตคอยน์ และศีลธรรม" โดยคุณ Mu'aawiyah Tucker บรรยายในงาน Thailand Bitcoin 2024

☕️ Read full article on yakihonne: https://yakihonne.com/article/naddr1qvzqqqr4gupzpzjv3rwqzxt7r0tq2ufm9p7whrzgh00wj70k0ycevlme27jfsg5wqq2hzmzp0f3k7sntv36y7nn0xearv6msvezxczljpv0
nostr:

บิตคอยน์มีคุณสมบัติอะไรที่จะสามารถอุ้มชูจริยธรรมโลก และเราควรปฏิบัติกับมันอย่างไร

นี่คือ Agenda สำคัญในการบรรยายของคุณทักเกอร์ภายในงาน Thailand Bitcoin 2024

image

ขอบคุณที่เชิญผมมา ณ ที่นี่ ผม ทักเกอร์

อย่างที่รู้กันวันนี้เราจะคุยกันเกี่ยวกับบิตคอยน์ในมุมมองทางด้านจริยธรรม ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องเชิงเทคนิคของบิตคอยน์มากนักเพราะหลาย ๆ ท่านคงจะได้ฟังกันมากพอแล้ว ดังนั้นแล้ว ผมอยากที่จะมองบิตคอยน์นั้น เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง

image

ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มนุษย์ได้ประดิษฐ์ เครื่องมือ มากมายเพื่อที่จะก้าวข้ามอุปสรรค์ต่าง ๆ อย่างเช่น หอก หรือเครื่องไถ นี่เป็นสิ่งที่แยกเราออกจากสัตว์ป่าอื่น ๆ ซึ่งคำว่า เครื่องมือ ของมนุษย์ไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่ของที่จับต้องได้เท่านั้น เรายังมีเครื่องมือที่ไร้รูปร่างที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น เพื่อเป็นตัวแทนของชุดความคิดที่เราจะสื่อสารกัน เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์

อย่างไรก็ดี เครื่องมือก็คือเครื่องมือ มันไม่มีชีวิต ไม่มีเจตจำนง จะดีหรือชั่ว เราจะเป็นผู้กำหนด เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงมีการนำเอา ประวัติศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ร่วมเพื่อที่จะสร้างวิธีการใช้เครื่องมือเหล่านั้นไปในทางที่ถูกที่ควร เช่น เราอาจพูดได้ว่าการให้กำเกิด กฏหมาย ขึ้นเพื่อห้ามคนเข่นฆ่ากัน เป็นการที่มนุษย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และใช้ภาษาเพื่อสร้างกฏหมาย เพื่อกำหนดศีลธรรมร่วมกันซึ่งนำไปสู่สันติภาพ

นั้น ทำให้เราจำเป็นต้องศีกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเงิน เราเคยนำเงินมาใช้ไปในทิศทางไหนแล้วบ้าง แล้วในอนาคตเราจะใช้มันอย่างไรเพื่อที่จะสร้างเศรษฐกิจที่ยุติธรรมและมีจริยธรรม

ผมไม่ชอบสรุปประวัติศาสตร์ออกมาอย่างหยาบ กลับกันผมชอบมองย้อนกลับไปว่าพวกเราเคยทำอะไรเอาไว้บ้างเพื่อถอดบทเรียนจากมัน แล้วหวังว่าเราจะไม่ปล่อยให้ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ดังนั้นวันนี้ผมจะทำเช่นนั้น การมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์นั้น ผมคิดว่ามันมันสำคัญยิ่ง

image

อย่างที่รู้กัน นี่คือ Karl Marx

เราอาจพูดได้ว่าด้วยสภาพแวดล้อมที่เขามีชีวิตอยู่ได้หล่อหลอมเขา จนเขาให้กำเนิดแนวคิดหนึ่งที่เขาคิดว่ามันจะเป็นบรรทัดฐานทางศิลธรรมใหม่ที่ทุกคนต้องใช้ และนี่เป็นสิ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้

สะสมและกอบโกย นี่แหละคือแก่นแท้ของมัน จงให้อุตสาหกรรมสรรสร้างทรัพยากรเพื่อกอบโกยได้มากขึ้นอีก จึงประหยัดแล้ว ประหยัดอีก แล้วนำคุณค่าและสินค้าที่เอ่อล้นมากองเป็นทุนที่สูงขึ้น ให้ก่อเกิดเป็นทุนนิยม แล้วจึงกอบโกยเพียงเพื่อการกอบโกย กอบโกยเพียงเพื่อการผลิต สืบไป

นี่เป็นเป็นคำวิจารณ์ของเขา ถึงระบอบทุนนิยมและแนวคิดของมัน ซึ่งแพร่หลายปกคลุมทั้งสังคมที่เขามีชีวิตอยู่ คือการสะสมทุน อีกทั้งในมุมมองของเขาชี้ว่าฐานรากของทุนนิยมนั้นมีแค่การสะสมทุน สะสมทุน จนกระทั่งกระบวนการนี้มันได้กัดกินคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้หายไปจากสารระบบ

image

ดังนั้นมุมมองที่เขามีต่อระบอบทุนนิยม คือระบอบที่เอารัดเอาเปรียบชนชั้นแรงงาน กล่าวคือเขานิยามระบอบทุนนิยมว่า จงรีดเค้นเลือดเนื้อจากคนงานให้ได้มากที่สุด ให้พวกเขารู้สึกห่างเหินจากงานที่ทำ และสะสมทุนที่เข้นออกมาได้ให้เพิ่มพูนสูงขึ้นไป

ในมุมมองของเขา ระบอบทุนนิยมจะผูกขาดความมั่งคั่งเอาไว้คนเพียงไม่กี่หยิบมือ และ มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสินค้า เฉกเช่นแนวคิดหลักของทุนนิยมในมุมมองของเขาที่เน้นการกอบโกยเพื่อสะสมทุนให้ได้มากที่สุดด้วยทุกวิถีทาง ทุกอย่างบนโลกล้วนมีเพื่อให้กอบโกยสะสมทุน เพื่อทุนนิยม เขามองว่า ระบบเศรฐกิจแบบนี้จำเป็นต้องถูกปฏิรูปสิ้น อีกทั้งยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าระบอบที่ถูกออกแบบมาให้ลดต้นทุนให้ได้มากที่สุดนี้ต้องถูกปฏิรูปสิ้นด้วย แล้วก็มองไปอีกว่า ทุนนิยมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนขยายของจักรวรรดินิยม ที่พวกเขาใช้กดขี่ผู้คน

ไม่ได้เป็นการสนับสนุนแต่อย่างใด แต่ผมเห็นว่า Karl Marx นั้นเป็นลูกหลานและผลพวงของระบอบทุนนิยม ซึ่งหล่อหลอมให้เขามีมุมมองเช่นนี้ต่อมัน

image

จากนั้นเราก็ย้อนมาหามิตรสหายที่เราคุ้นหน้ากันอย่างดี Adam Smith

เขาเกิดในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ส่งผลให้ชีวิตหรือมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ นั้นแตกต่างจาก Karl Marx เขาเกิดในระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ ที่ที่การแบ่งสันปันส่วนอำนาจขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดินที่ผู้ใดครอบครอง เขาพูดอะไรไว้บ้าง เรามาดูกัน

เกียรติและศักดิ์ศรีของบุคคลทำให้เขารักที่จะปกครอง ไม่มีอะไรที่เหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีเขาได้เท่าการถูกบังคับให้เชื่อฟัง ถูกทำให้ดูต่ำต้อย ต่อผู้ที่อยู่เหนือกว่า ขาจึงรักที่จะมีทาสให้ใช้งาน มากกว่าทำงานกับเสรีชน

เขาได้พูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ รวมทั้งธรรมชาติของผู้มีอำนาจที่ไม่ต้องการเจรจากับแรงงานของพวกเขา พวกเขาใคร่ที่จะกดขี่บังคับมากกว่าการร่วมมือร่วมแรงกันกับพวกเขา

โดยที่นอกจากที่เขาจะพูดถึงผู้มีอำนาจหรือผู้ถือครองที่ดินแล้ว เขาก็ยังพูดถึงชนชั้นแรงงานด้วยเช่นกัน

ภายใต้ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์นั้น ผู้อยู่ใต้บัญชานั้นมีหน้าที่แค่รับใช้อำนาจที่สูงส่งกว่า ไม่สามารถมีสิ่งที่เป็นของตนเองได้ พวกเขาจึงถูกบังคับให้วิงวอนต่อเจ้านายให้มอบอาหารที่อยู่และเครื่องนุ่งห่มแก่ตนด้วยการทำงานถวายแก่นายตน ในสถานการณ์เช่นนี้ เราไม่สามารถหวังให้พวกเขากระทำสิ่งใดให้มีประสิทธิภาพหรือก่อเกิดความก้าวหน้าได้

Adam Smith ได้วิพากวิจารย์ว่าการมีอยู่ของระบอบศักดินาสวามิภัคดิ์นั้น ทำให้อำจาจตกอยู่กับผู้ที่ครอบครองที่ดินเพียงอย่างเดียว ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่เซอะกร่อนบ่อนทำลายชนชั้นแรงงานเนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะมีอะไรเป็นของตนเอง พวกเขาจึงต้องเอาแต่รับใช้เพื่อที่จะอยู่รอดไปวัน ๆ

เขานั้นค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับประสิทธิผลของงาน ไม่ได้พูดถึงจริยธรรมหรืออุดมการณ์เหมือนกับ Karl Marx เขามองว่าถ้าบุคคลนั้นมีหน้าทีแค่รับใช้นายของตน บุคคลนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก เขาแค่ต้องทำสิ่งที่เจ้านายสั่งเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแค่นั่น นั่นทำให้ภายใต้ระบอบนี้ประสิทธิผลของการใช้ทรัพยากรนั้นจะไม่ถูกดึงออกมาอย่างสูงที่สุด

image

เศรษฐกิจจะไม่สามารถทรงประสิทธิภาพได้เลยภายใต้ระบอบศักดินา เป็นสิ่งที่เขามอง และมองว่าระบอบทุนนิยมนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่ามีประสิทธิภาพเพื่ออะไร เพื่อกอบโกยทุนหรือไม่?

ไม่มีการเลื่อนชั้นทางสังคม เพราะว่าหากไม่มีที่ดินหรือถูกรับมอบที่ดิน พวกเขาก็จะไม่สามารถเปลี่ยนสถานะภาพทางสังคมได้เลย นั้นจึงทำให้ การค้าที่ถูกจำกัด เพราะว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องค้าขาย เพราะพวกเขามีหน้าที่แค่รับใช้ ทำงานให้เสร็จ ๆ ไปก็มีกินด้วยสิ่งที่เจ้านายของตนเองมอบให้แล้ว สุดท้ายเลยคือระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ต้องมีการ ผูกขาดสิทธิเสรีภาพ เพราะตัวระบอบไม่สามารถอนุญาตให้มนุษย์ทุกคนมีอำนาจหรือไม่ยากจนได้ ซึ่งนั้นก็เป็นอีกจุดอ่อนที่ฉุดรั้งประสิทธิผลของมนุษย์

อีกครั้ง เราอาจกล่าวได้ว่าระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ได้ให้กำเนิด Adam Smith ขึ้นมา

image

ต่อมาเป็นระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ มันคืออะไรหละ มันคือระบบที่มีการแบ่งชนชั้นของบุคคลอย่างชัดเจน จากทาส สู่กษัตริย์ มีอัศวิน มีขุนนาง มีการรับใช้เพื่อได้รับการคุ้มครองจากกษัตริย์หรือเจ้าเมือง ระบอบดังกล่าวให้ความสำคัญกับผู้ถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นตัวแสดงอำนาจที่ผู้นั้นถือครอง และความจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชา

แล้วเมื่อมองย้อนกลับไปอีก เราก็จะเห็นอารยธรรมของมนุษย์ที่รวมกันเป็นเมืองเป็นรัฐและเกิดการซื้อขายเจริญเติบโตขึ้น ทุก ๆ อย่างเหมือนจะดีไปหมดแต่ทำไมทุก ๆ อารยธรรมถึงสิ้นสุดลง

image

การล่มสลายของกรุงโรม

เป็นตัวอย่างที่เราได้ยินกันมาเยอะมากหากคุณเป็น Bitcoiner พวกเขามีทั้งเจตจำนงที่จะหลีกหนีระบอบจักวรรดินิยม มีการกระจายอำนาจ เกิดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นมากมาย มีเศรษฐกิจเกษตรกรรม มีการค้าขายกับต่างชาติ ถึงขนาดมีศาสนาเป็นของตนเอง

ทุกอย่างของกรุงโรมดูจะเป็นไปในทางที่ดี แต่แล้วทำไมหละ มันถึงล่มสลายลง

image image

คำตอบคือมันเกิดการโกงหน่วยวัดมูลค่าให้ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ

เช่นการที่หน่วยเงินมันเฟ้อ หรือถูกแทรกแทรง ถูกลดค่าลง หรือให้บางคนที่มีอภิสิทธิ์เสกเงินขึ้นมาให้กับตนเองได้

ทำให้ความมั่งคั่งของคนที่ทำงานและสมควรได้เงินก้อนนั้นถูกลดทอนลง เป็นความไม่เป็นธรรมชาติที่นำไปสู่การล่มสลายของอารยธรรมต่าง ๆ มนุษย์นั้นคิดค้นการโกงหน่วยการวัดมูลค่ากันมาตลอด หนึ่งในนั้นคือการที่ทำให้เงินเสื่อมมูลค่าเมื่อเทียบกับทองคำ ด้วยข้ออ้างที่บอกกันว่า

ให้พวกเราถือทองของพวกคุณ อย่าแลกเปลี่ยนกันด้วยทอง ทองมันหนักเกินไป ทองมันเคลื่อนย้ายยาก

นำไปสู่การผูกขาดทองไว้กับอำนาจรัฐ โดยที่พวกเขาก็จะให้ประชาชนใช้เงินที่ตนตีตราขึ้นมา แล้วก็ทำให้มันงอกเงยจนไม่ได้อิงจากมูลค่าของทองคำแบบ 1:1 ให้กำเนิดเงินเฟ้อซึ่งนำไปสู่การเสียเสถียรภาพของตลาดและการล่มสลายของอารยธรรมหลายต่อหลายครั้ง เช่นกรุงโรม มองโกล หรือแม้แต่จักวรรดิต่าง ๆ ภายในจีน

รูปแบบของการโกงหน่วยวัดมูลค่าของเงินนั้นสลับซับซ้อนและพิศดารขึ้นตามการเวลาที่ผ่านไป จนเรามาถึงยุคที่เงินนั้นไม่ได้ผูกกับทองคำอีกต่อไป จากเหตุการณ์ Nixon shock ทำให้เงินในตอนนี้สื่อมมูลค่าลงไปเรื่อย ๆ จากระบบการเงินใหม่ที่ตัดตนเองออกจากทองคำและไปถูกอ้างอิงมูลค่าโดย หนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่ถือโดยธนาคารกลางและตนก็เป็นคนกำหนดนโยบาย ซึ่งผมมองมันในฐานะ รากฐานของระบบธนาคารสินเชื่อ หรือหนี้ที่ถือโดยธนาคารพานิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อก็ยิ่งทำให้เงินมันเฟ้อขึ้นไปอีก เช่นแบงค์ของ Wall Street ในสหรัฐอเมริกา

image

นี่คือจุดที่ทำให้เรากลับมาที่บิตคอยน์ ในฐานะเครื่องมือที่มีจริยธรรม เพราะบิตคอยน์มันเฟ้อไม่ได้ บิตคอยน์มันโกงไม่ได้

ตัวของมันจึงสามารถมอบโอกาสแก่พวกเราให้ไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต เพราะเมื่อผมส่งบิตคอยน์ ผมได้ส่งมันไปจริง ๆ และมันหายไปจากมือของผมจริง ๆ

ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติสร้างการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรม

image

บิตคอยน์นั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นเงินที่ยุติธรรม และมีจริยธรรม ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการที่ มันมีจำกัด

หากถามว่าสิ่งนี้สำคัญอย่างไร คำตอบคือคุณสมบัตินี้ของมันนี่แหละที่จะป้องกันการโกงมูลค่าได้ ไม่เหมือนกับกับเงินที่ถูกโกงมูลค่าหรือเฟ้อขึ้นได้ในปัจจุบัน มันเป็นเงินที่คุณจะไม่ได้นั่งเฉย ๆ แล้วได้รับมันมาด้วยฟังชั่นการงอกเงยของมัน

เรารู้ว่าบิตคอยน์มีปริมาณเท่าไหร่ มันโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีภูมิต้านทานการเซนเซอร์ มันสามารถเข้าถึงใครก็ได้บนโลกที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ต

มันไม่เกี่ยงเลยว่าคุณคือใคร มีฐานะอย่างไร ตราบเท่าที่คุณสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ มันเปิดกว้างมาก และจริง ๆ ผมก็สามารถสร้างระบบ หรือสร้างธุรกิจบนพื้นฐานของบิตคอยน์โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น

มันทั้งไร้พรมแดนและเป็นสิ่งที่สวยงามยิ่ง ผมจะส่งเงินไปใครใครในโลกก็ได้โดยที่ไม่ต้องคิดเลยว่าเขาอยู่ที่ไหน หรืออยู่ในระบอบปกครองแบบใด ผมแค่ส่ง และผมแค่รับ

อีกข้อหนึ่งคือ มันกระจายศูนย์ เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ข้ออื่น ๆ ของบิตคอยน์นั้นทำงานได้จริง ยกตัวอย่างเช่นการกระจายเงินอย่างเท่าเทียมผ่านการขุด ไม่ใช่การกระจายเงินไปสู่คนเพียงหยิบมือที่มีใบอนุญาตเปิดธนาคารได้ แต่เป็นทุก ๆ คนที่ต้องทุ่มแรงเพื่อที่จะได้มันมา ซึ่งนั่นก็ย้อนกลับไปถึงปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรมของเงินที่มีคนที่สามารถมีอำนาจในการสูบความมั่งคั่งไปจากเราได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

และสิ่งสุดท้ายเลยคือ เงินมันไม่จำเป็น หรือจริง ๆ คือมันไม่มีผลตอบแทน หรือ yield ใด ๆ เพื่อรักษานโยบายทางการเงินของมัน

image image

แล้วไอ้เจ้าการที่เงิน มันมีผลตอบแทน มันงอก มันเฟ้อได้ มันผิดอะไรกันหละ

เราสามารถแจกแจงปัญหานี้ออกมาได้สองข้อใหญ่ ๆ คือ

หนึ่ง คือเงินนั้น คือเครื่องมือในการวัดมูลค่าของสิ่งของ

ผมมอบเงินให้กับผู้ขายเพื่อซื้อมูลค่าที่เขาเสนอมา มันเป็นแค่หน่วยวัด เพื่อให้เกิดการซื้อขาย เพื่อที่ผมจะซื้อของที่จำเป็น มันเป็นเพียงแค่นั้น ถ้างั้น แล้วพอเงินมันมีผลตอบแทนได้หละ มันก็จะเฟ้อ เปรียบเหมือนกับคุณพยายามที่จเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วต้องการทดลองปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่าง คุณต้องใช้ปิกเกอร์ แต่ถ้าเราบอกว่ามาตรวัดของปิกเกอร์นั้นมันเปลี่ยนไปตลอดในทุกครั้งที่คุณหยิบมันขึ้นมาหละ ใช่ปิกเกอร์นั้นมันอาจจะใช้งานได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว อย่าหวังเลย เราไม่สามารถให้มาตรวัดถูกควบคุมหรือแทรกแทรงโดยมนุษย์ได้ โดยเฉพาะกับเจ้าตัวเงินที่เฟ้อได้นี่

สอง เงินที่เฟ้อให้ผลประโยชน์กับพฤติกรรมนักล่า

สมมุติว่าผมให้คนยืมเงินแล้วเขาสัญญาว่าจะนำมาคืนใน 5 ปี คุณไม่สามารถให้หากคุณไม่คิดดอกเบี้ย หรือได้รับผลประโยชน์อะไรบางอย่างตอบแทนที่คุ้มค่า มันไม่ใช่เจตจำนงของเราแต่เป็นสภาพบังคับเพราะว่าเงินของเราเสื่อมค่าลงทุกวัน เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณไม่สามารถซื้อของที่คุณต้องการซื้อได้อีกแล้วด้วยเงินที่เขานำมาคืนเมื่อครบสัญญาเพราะของมันแพงขึ้น

แล้วถ้าหากเป็นเงินที่ไม่เฟ้อหละ มันให้ผลประโยชน์กับพฤติกรรมที่เป็นกุศล เพราะเงินที่ผมให้ยืมไป เมื่อผมได้รับคืน ผมสามารถซื้อของที่ผมอยากได้ใน 5 ปีก่อนได้ตามปกติ จริง ๆ แล้ว นี่อาจจะนับเป็นการให้เขานำเงินของเราไปดูแลแทนเราก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องตักตวงผลประโยชน์ใด ๆ เพื่อความอยู่รอดอีกต่อไป

ผมเชื่อว่า บิตคอยน์ เป็นเงินที่มีศิลธรรมมากที่สุด แต่ผมเชื่อว่าเราทำอะไรได้มากกว่านี้

image image

ในโมเดลธุรกิจตามหลักศาสนาอิสลาม พวกเรามีระบบที่กำหนดว่าอะไรคือการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรม ผมพยายามที่จะหาคำอธิบายง่าย ๆ ให้ฟังแต่มันก็ยากพอควรเลยแหละ แต่โดยสรุปแล้ว มันคือ Capitalistic collectivism

Capitalistic collectivism คือหลักแนวคิดที่ว่า ไม่มีอะไรผิดในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หรือสะสมทุน ตราบใดที่คุณยังคำนึงถึงกลุ่มคนหรือส่วนรวมในกระบวนการนั้น ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปที่มุมมองต่อทุนนิยมของ Karl Marx ที่เน้นย้ำสุด ๆ เกี่ยวกับกระบวนการเก็บเกี่ยวสะสมทุนที่ตัดขาดมนุษย์ออกจากสมการทำให้ไม่ต้องแคร์ว่าพวกเขาจะทน เขาจะจน เขาไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ตราบใดที่ฉันได้กอบโกยทุนเข้ากระเป๋าฉันก็เพียงพอ

ซึ่งสำหรับการมองทุนนิยมในรูปแบบของ Capitalistic collectivism เรายังสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้ โดยที่ไม่ทำให้ผู้คนเป็นทุกข์

มีคำกล่าวหนึ่ง ใครก็ตามที่มีสวนหลังบ้านแล้วผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นอดอยาก คุณในฐานะเจ้าของที่ดินจะถูกขับออกจากการปกป้องของ Allah นี่เป็นสิ่งที่มูฮัมมัดได้เคยตรัจเอาไว้ เป็นวิธีการที่เขาจะส่งเสริมให้คนที่มีทุนหรือมีที่ดิน มองกลับมาและให้ความสำคัญผู้คนที่อาศัยในที่ ๆ ของคุณด้วย คุณมีส่วนรับผิดชอบต่อความหิวโหยของพวกเขา เพราะสมมุติว่ามีใครมาเจอคนหิวอยู่ในสวนหลังบ้านคุณแล้วคุณไม่ทำอะไร คุณก็จะถูกตั้งคำถามและถูกติติง

อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าคุณให้ คุณจะร่ำรวย สำหรับเหตุผลของมันผมจะกลับมาอธิบายอีททีในเร็ว ๆ นี้ แต่จุดประสงค์ของคำกล่าวนี้ก็คือการส่งเสริมให้ผู้มีต้องคำนึงถึงผู้ที่ไม่มีด้วย เราจึงต้องทำให้แน่ใจว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะแบ่งปันสิ่งที่เรามีแก่พวกเขา

image

สิ่งสุดท้ายเกี่ยวกับ Capitalistic collectivism คือการ ทำให้ความมั่งคั่งของเรานั้น ไม่ได้ถูกจำกัดและส่งต่อไปให้แต่กับผู้มากมี ซึ่งเอาจริง ๆ ผมพอเข้าใจในมุมมองของชาวบิตคอยน์ที่มักจะบอกกับทุก ๆ คนว่า

ถือไว้ ถือยาว ถือยาวแล้วดีต่อคุณ

แต่เราต้องคำนึงถึงด้วยว่าบิตคอยน์นั้นเป็นเงินสำหรับทุกคน ทุกคนจำเป็นที่จะสามารถเข้าถึง มี และครอบครองมันได้ เพราะว่าเราไม่อยากให้เจ้าบิตคอยน์นี้หมุนเวียนไปแต่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราต้องการให้ทุกคนเข้าถึงบิตคอยน์

image

ในศาสนาอิสลาม เรามีคำว่า Zakaat ซึ่งผมจะวางมันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับดอกเบี้ยเลย เพราะโดยความหมายแล้ว ดอกเบี้ย คือผลตอบแทนจากเงินที่ไม่ได้นำไปทำอะไร แต่สำหรับ Zakkat นั้น ผลตอบแทนจากเงินคือการนำเงินนั้นไปเพื่อเติมเต็มสังคม เพื่อแสดงความรับผิดชอบของผู้มีต่อผู้ที่ไม่มี

image

ความมั่งคั่งแล้วโดยธรรมชาติแล้วจะค่อยสูญเสียไปตามกาลเวลา เช่นการที่คนมีบ้าน เขาก็ต้องจ่ายเงินเพื่อดูแลบ้าน นั่นก็นับเป็นการสูญเสียความมั่งคั่งบางส่วนกลับสู่ธรรมชาติเช่นกัน สู่มือของคนที่เราจ้างมาให้ซ่อมบ้าน หรืออีกตัวอย่างคือรถ รถนั้นประกอบไปด้วยหลายชิ้นส่วน เมื่อเราต้องดูแลรถเราก็ต้องสละความมั่งคั่งของเขาไปให้อู่ซ่อมรถ ตามกฏของธรรมชาติ

ดังนั้นแล้ว ผลตอบแทนจากเงินที่ไม่ได้สร้าง Productivity ใด ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังสูบเอาความมั่งคั่งจากผู้อื่นเพื่อได้รับผลตอบแทนของเงิน ดังนั้นแล้ว ตามกฏของธรรมชาติ เงินควรที่จะลดลงและถูกส่งทอดลงสู่ผู้ที่จำเป็นต้องใช้มัน แล้วพวกเขาก็นำเงินเหล่านั้นซื้อสิ่งของที่ต้องการ แล้วนั่นก็จะนำประโยชน์กลับมาหาคุณไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง นี่ก็เป็นตัวอย่างที่สนับสนุนคำสอนที่กล่าวว่า จงให้ เพื่อที่จะได้รับ เป็นสิ่งปกติของการผ่องถ่ายความมั่งคั่ง

image

ในที่สุดเราก็มาถึงบทสรุปแล้ว ผมมีคำแนะนำหรือบรรทัดฐานว่าเราจะสร้างเศรษฐกิจที่มีจริยธรรมที่มากขึ้นได้อย่างไร

  • เราต้องสร้างระบบนิเวศของเศรษฐกิจที่ชัดเจนโปร่งใส
  • ได้รับในสิ่งที่คุณควรได้เท่านั้น
  • จงเพิ่มมูลค่ากลับไปที่ระบบด้วย ไม่ใช่เอาแต่ดูดเอาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
  • จงให้ เพื่อที่จะได้รับ
  • และอย่าให้บิตคอยน์หมุนเวียนอยู่กับแต่ผู้มากมี

เนื้อหาบรรยายโดย Mu’aawiyah Tucker
เรียบเรียงและแปลโดย คุณคอฟฟี่

#siamstr #Siamstr #tbc2024
Author Public Key
npub13fxg3hqpr9lph4s9wyajsl8t33ythhhf08m8jvvk0au40fycy28qhsemrd