# วันนี้ผมอายุ 39 ปีบริบูรณ์พอดีครับ
การเปิดเผยตัวเลขจะช่วยให้ง่ายขึ้นสำหรับทุกท่านในการเรียกขานผม
จะเรียกคุณ เรียกพี่ เรียกน้อง เรียกน้า เรียกลุง เชิญตามสะดวกเลยนะครับ อย่าเรียก “ไอ้” ก็พอ แบบนั้นมันดูจะโหดร้ายไปหน่อย
ผมไม่เคยซีเรียสกับตัวเลข ลาภ ยศ อะไรพวกนี้ มันเป็น “คุณค่า” มากกว่าที่ผมมักจะให้ความสำคัญเสมอ
วันนี้ผมเจอข้อคิดดีๆ โดย “นุสนธิ์บุคส์” ซึ่งค่อนข้างตรงกับสิ่งที่อยู่ภายในใจ
เพราะผมเป็นคนที่มักจะโดนกระแหนะหกะแหนหรือถูกมองว่า “โง่” ไม่ก็ “เปลืองตัว” เสียเวลาทำความดีกับคนนั้นคนนี้แต่ไม่เคยได้ดี.. อยู่เป็นประจำ
“อย่าเสียใจที่เคยทำดีกับใคร
ไม่ว่าจะรู้สึกว่า ดูคนผิด
ไม่ว่าจะ ถูกทรยศ
ไม่ว่าจะถูก แทงข้างหลัง
เพราะการทำดีที่คุณมีต่อเขา
ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้น
ดีมากเพียงใด แต่เป็นเพราะคุณมีดี
แคร์มากก็เหนื่อยมาก
ไม่แคร์ก็ไม่เหนื่อย
บางครั้ง.. คนที่ทำให้เราเหนื่อย
ก็ไม่ใช่คนอื่น เราเองนั่นแหละ
ที่ไม่เคยวางความรู้สึก.. ของตัวเองลง”
…
คนใกล้ตัวมักจะถามผมเสมอ “ผมทำแบบนี้ไปทำไม?” ทุกคนมักจะสงสัยว่าผมทำตัวเป็นพ่อพระเพื่อต้องการให้คนมาขอบคุณหรือชื่นชมผมน่ะเหรอ?
เปล่าเลย.. มันเป็น Self interest เป็นความมุ่งหมายส่วนตัวที่จะลบล้างความผิดในอดีต ความผิดที่กระทั่งวันนี้ผมก็ยังลืมมันไม่ลง..
—
## รุ่นที่ 3
คุณ “ยายทวด” ของผม มีลูกเกือบ 10 คน ด้วยกัน.. เค้าสร้างครอบครัวใหญ่ได้ขนาดนั้น ในขณะที่ทุกวันนี้ การมีลูกสักคนกลายเป็นปัญหาระดับโลกไปแล้ว
คุณยายของผมเป็นลูกคนกลางๆ ท่านมีลูกอีก 6 คน เสียชีวิตไปตั้งแต่เยาว์วัย 2 คน หนึ่งในนั้นคือลูกชายเพียงคนเดียว คือคนที่เป็นแบบอย่างให้กับวัยรุ่นทั้งหมู่บ้าน คนแรกที่สำนึกรักบ้านเกิดและทำผ้าป่ากลับมาพัฒนาชุมชน
น้าของผมจากไปด้วยอุบัติเหตุในวัยเพียง 28 ปี ณ ขณะที่ผมพึ่งจะพ้นอนุบาลไปหมาดๆ เท่านั้น..
ลูกหลานทั้งขโยงของยายทวดจะมีกันหลาย Generation ซึ่งผมคือรุ่นที่ 3 ของตระกูลชาวนาเต็มขั้น แต่ผมผ่าเหล่านิดหน่อยตรงที่เกิดมาพร้อมกับความเฉลียวฉลาดมากกว่าใครๆ ในยุคนั้น
ด้วยความหัวไว ผมจึงถูกญาติๆ เรียกว่า “ศรีธนญชัย” และได้รับการคาดหมายว่าจะโตขึ้นมาแทนที่น้าผู้ชายที่จากไปก่อนวัยอันควร.. ซึ่งถึงแม้ผมจะไม่ใช่คนโตที่สุดในรุ่น 3 (ที่มีราวๆ 20 คน) แต่บริบทต่าง ๆ ก็เหมือนจะส่งเสริมให้ผมต้องเป็น “หัวโจก” ของรุ่นมาตั้งแต่เริ่มจำความได้
ถ้าถามว่า Leadership Skill ของผมมันเริ่มมาจากตรงไหน แน่นอนว่าผมเกิดมาเพื่อรับหน้าที่นี้ตั้งแต่ต้นแล้ว..
ในวันที่ผู้ใหญ่กำลังทำไร่ไถนากันแข็งขัน ผมคือหัวโจกพาทั้งรุ่นเล่นสนุกสารพัดอย่างตามท้องทุ่ง ทั้งมีสาระและสุ่มเสี่ยง คนที่โดนไม้เรียวมากที่สุดก็ผมนี่เอง
ผมไม่เคยให้ใครต้องถูกต่อว่า.. ทุกครั้งผมจะเดินออกมาข้างหน้าแล้วรับผิดด้วยตัวคนเดียวเสมอ แม้นผู้ใหญ่จะรู้ว่ามันไม่ได้เริ่มมาจากผม แต่บทเรียนที่พวกท่านมอบให้ก็ทรงคุณค่ามากพอที่จะทำให้ผมรับรู้ได้ว่า..
ผู้นำต้องรับผิดชอบกับผลลัพธ์ทั้งหมดของคนในทีม ตราบใดที่คุณยังโดนลงโทษ คุณยังไม่ใช่ผู้นำที่ลีดทีมได้ดีพอ และคุณต้องกล้าที่จะรับโทษ ไม่งั้นก็จงกลับไปยืนหลบอยู่ท้ายแถว..
อย่าพาใครเดินไปข้างหน้าถ้ายังปล่อยให้คนข้างหลังต้องหล่นลงเหว
ผมไม่รู้ว่านี่เป็นหลักการแนวคิดที่ถูกหรือผิด แต่ผมก็ถูกหล่อหลอมขึ้นมาแบบนั้น…
ด้วยภาวะแวดล้อมแบบนี้ ทำให้ผมจำเป็นต้องขวนขวายความรู้ คิดวิเคราะห์ วางแผนและรับมือกับปัญหาต่าง ๆ มาตั้งแต่ยังเด็ก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มนุษย์ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ผมเองก็เช่นเดียวกัน ไขว่คว้าความอยู่รอดของตัวเองในฐานะ หัวหน้าแก๊งค์
สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปทรงเดิม ไม่ว่าจะอนุบาล ประถม หรือมัธยม ผมไม่ใช่คนที่มีร่างกายกำยำ แต่ก็มีเพื่อน ๆ คอยรายล้อมและปกป้องอยู่ตลอดเวลา ทุกเผชิญกับปัญหา ทุกคนจะชี้นิ้วมาที่ผม มันเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องอ้าแขนผายมือเปิดรับความท้าทายต่าง ๆ มันผ่านมานานเกินไปจนผมก็จำไม่ได้แล้วว่า ปรารถนาของผมคือสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้.. ถึงจะพอจำมันได้ เด็กคนนั้นก็เป็นเพียงร่างต้นของผมในวันนี้เท่านั้น ไม่สามารถนำมาอธิบายตัวตนของผมได้ทั้งหมด
- - -
## ความโหยหาในสิ่งที่ขาด
ชีวิตวัยเด็กที่โดนแสงสปอร์ตไลท์กลางท้องทุ่งส่องกระทบตัวอยู่ตลอดเวลาเริ่มทำให้ผมเบื่อหน่าย
ผมหาคำตอบไม่เคยได้เลยว่าทำไมผมจึงเป็นคนที่ถูกความคาดหวังพุ่งเข้าถาโถมจากผู้คนรอบกาย
ผมรู้สึกเหนื่อยล้ากับความรับผิดชอบเหล่านั้น ที่เราเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะให้ประโยชน์อะไรกับเรา..
มันเป็นพวกเขา..
พวกเขาต่างหากที่จะได้นำเรื่องราวของผมไปบอกต่อได้อย่างภาคภูมิใจ นี่คือความหวังของฉัน ผลผลิตของฉัน เด็กน้อยคนนี้เอาชนะเด็กของพวกคุณได้ทั้งหมด
พวกเขาจะรู้สึกหน้าใหญ่ใจโต ท่ามกลางเสียงปรบมือที่เคลือบแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาในสังคมของพวกเขา
ในขณะที่ผมเป็นเพียงตัวละครหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น พวกผู้ใหญ่ไม่เคยเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของเรา..
นั่นคือสิ่งที่ผมเริ่มคิดในวัยแตะ ๆ 18 ฝน
ทำความเข้าใจกันก่อนว่า.. บุพการีของเราถูกปลูกฝังค่านิยมกันมาแบบไหน โดยเฉพาะในพื้นที่ไกลปืนเที่ยงอย่างบ้านเกิดเมืองนอนของผมนั้น การเป็นผู้พิชิต การได้เป็นเจ้าคนนายคน คือปรารถนาระดับเดียวกับการบรรลุนิพพาน
เมื่อมองย้อนกลับไป ผมไม่เคยโทษวิธีการของพวกเขาเลย แต่ผมกลับสงสารและตระหนักได้ถึงสิ่งที่กำลังกัดกินความเป็นมนุษย์และสภาพสังคมของพวกเรา
ช่วงท้ายของวัยมัธยมปลาย คือช่วงที่ผมทำให้ตัวเองที่เคยเป็นดาวโรจน์กลายเป็นดาวร่วง
ความคิดและแรงปรารถนาของเรามักจะมีสองด้านขนานกัน หนึ่งคือสว่าง และอีกหนึ่งคือด้านมืด ช่วงเวลาตุ้มไม่เข้าใจพ่อนั่นเอง ที่ค่อย ๆ ลักพาเหรียญด้านสว่างไปจากผม เหรียญด้านมืดจึงค่อย ๆ เริ่มถูกเปิดเผยออกมา
ผมเริ่มต้องการจะใช้ชีวิตในแบบที่ไม่เคยสัมผัส ผมอยากรู้ว่าเด็กเกเรมีแรงจูงใจอะไร ทำไมพวกเขาเลือกจะเกเร และทำไมผมจึงโดนห้ามว่าไม่ควรจะทำแบบนั้นแบบนี้?
วีรกรรมทั้งหมดที่เคยทำนั้นมากมายเหลือเกิน หากต้องสรุปให้สั้นที่สุดผมคงบอกได้แค่ว่า สิ่งเดียวที่ผมยังไม่เคยทำคือปลิดชีพใครสักคน ซึ่งก็เฉียดมาแล้วหลายรอบ
ผมยังจำวันสุดท้ายของผมในโรงเรียนที่ต้องใส่ขาสั้นได้อยู่เลย พวกเราเขียนเฟรนด์ชิพให้กันและกัน เราสละเสื้อตัวหนึ่งให้เพื่อนคนไหนก็ได้หยิบปากกามาละเลงเล่น หนึ่งในนั้นเขียนเอาไว้ว่า..
“กูดีใจที่มึงยังมาให้พวกกูเห็นหน้าในวันสุดท้าย..”
ทั้งหมดนั้นแลกมากับความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อเป็นแม่..
ผมในวัยเด็กถูกเลี้ยงเยี่ยงไข่ในหิน เป็นเหมือนดั่งพิราบที่มีเพียงแค่กิ่งไม้เล็กๆ ให้ยึดเกาะภายในกรงทองอันหรูหรา เมื่อถึงวันที่พิราบน้อยได้ออกโบยบินด้วยตัวมันเอง คุณคงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ามันจะใช้ปีกคู่นั้นของมันอย่างไร
เจ้าพิราบน้อยทำทุกอย่างที่คนจะมีอนาคตที่ดีไม่ควรทำ มันโหยหาสถานที่ ๆ มันไม่เคยไป สัมผัสทุกเรื่องราวเพื่อตอบสนองต่อความสงสัยใคร่รู้ของตน มันได้เจอกับสิงห์สาราสัตว์สารพัดสายพันธุ์
โลกภายนอกกรงทองนั้นเกินวิสัยที่เครือญาติของมันจะให้ข้อมูลหรือคำแนะนำอะไรได้ มันบินไปไกลกว่าที่ทุกคนในกรงขิงมันจะเคยได้ไป มันต้องหาคำตอบให้กับสิ่งใหม่ ๆ ที่เจอนั้นด้วยตัวมันเอง
คำตอบที่ส่งผลต่อตัวมันเองมากที่สุดนั่นคือ..
บนฟากฟ้าไม่ได้มีเพียงแค่นกพิราบ.. มันยังมีเหยี่ยวเจ้าเวหา กระทั่งพญาอินทรีย์จอมราชันย์ เจ้าเป็นเพียงแค่ฝุ่นผงเท่านั้นเจ้านกน้อยพึ่งหัดบิน..
- - -
## ผิดให้มากพอจนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูก
ผมมีเกือบ 10 ปีแห่งความเสื่อมทรามในช่วงวัยหนึ่งของชีวิต ผมทำบาปเอาไว้เยอะมากจนไม่รู้สึกว่าผมจะมีวันที่สามารถลบล้างมันได้
โดยเฉพาะกับคนที่รักผม ผมทำร้ายจิตใจพวกเขาอย่างไม่ควรได้รับการอภัยโทษ จากตัวความหวัง ผมกลายเป็นดั่งลูกไฟที่ขยายใหญ่ยิ่งกว่า Snow ball กลิ้งเผาผลาญความรู้สึกของใครต่อใครไปทั่ว
ผมมือไม้สั่น ณ ขณะที่กำลังรำลึกเหตุการณ์เพื่อถ่ายทอดมันออกมา..
แต่อย่ากระนั้นเลย.. ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญที่มืดสนิทมันก็มีด้านสว่างที่ควรจดจำ..
ทุก ๆ เหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยสาเหตุและผลลัพธ์ ได้ให้อะไรกับผมเอาไว้เยอะ ทุก ๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ทำให้ผมนั้น “เข้าใจคนแต่ละประเภท” มากยิ่งขึ้น
บ่อยครั้งที่ผมมักจะกลับมานั่งวิเคราะห์ถึงแรงจูงใจและการตัดสินใจของผู้คน รวมถึงพฤติกรรมของตัวผมเอง มันถึงจุดที่ผมสามารถยับยั้งตัวเองก่อนจะทำบางสิ่งบางอย่างได้ไปโดยปริยาย
ทุกครั้งที่ปฏิทินวนมาถึงครบรอบวันเกิด ผมมักจะหาที่เงียบ ๆ เพื่อระลึกถึงความผิดที่ตนเคยกระทำ ความเจ็บปวดที่เคยฝากไว้กับบุพการี โอกาสตอบแทนคุณที่ไม่เคยมี..
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกัน.. ถึงแม้พ่อแม่จะไม่มีต้นทุนที่ดีพอส่งต่อมาให้เรา มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยปละละเลยพวกเขาได้ไม่ใช่หรือ?
เราจะตอบแทนพวกท่านยังไง ในเมื่อวันนี้เราทำงานเกือบตายยังแทบเอาตัวไม่รอด.. นั่นเองคือบาปที่อยู่ในใจ
“พ่อแค่หวังว่าลูกจะกลับตัวกลับใจมาเป็นคนดี เป็นเด็กที่พ่อเคยภาคภูมิใจ.. ลูกทำได้ไหม?”
ผมน้ำตานองหน้าทุกครั้ง เมื่อนึกถึงคำที่พ่อเอ่ยกับผมไว้ เมื่อครั้งต้องรดน้ำสังข์ให้กับลูกชายที่กำลังจะกลายไปเป็นหัวหน้าครอบครัว
- - -
บทความนี้คงมีพื้นที่ไม่พอให้ผมได้ถ่ายทอดแรงจูงใจทั้งหมด ที่ส่งผมมาให้กลายเป็นพ่อพระในสายตาของคนทั่วไป
ผมเลือกจะ “ทำดี” ถึงแม้บ่อยครั้งมันจะเป็นตัวเลือกที่อยู่ในด้านตรงข้ามกับ “สันดานดิบ” ของตัวผมเอง..
ผมเข้าใจว่าคนสำนึกผิดนั้นปวดร้าวมากแค่ไหน.. ผมไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับใคร..
วันนี้ผมมีโอกาสที่จะยับยั้งมันได้ ผมมีทางเลือกที่จะสร้างสรรค์ความดีงาม ผมแค่ต้องการจะไขว่คว้ามันเอาไว้
ผมใช้เวลาเกือบ 7 ปี กว่าคนใกล้ตัวจะเข้าได้ใจว่า.. ผมเลือกเปลืองตัวไปทำไม
ผมไม่เคยบอกกับใครในเรื่องนี้.. ผมแค่อยากให้พ่อกลับมาภาคภูมิใจในตัวผม
เท่านั้นเอง…
ไม่รู้ว่าพ่อจะอยู่กับผมได้อีกนานแค่ไหน..
วันนี้ผมจะไปที่ทุ่งนา
ไปทานข้าวกับพ่อของผมครับ