ทำให้มองเห็น ความจำเป็น ที่จริงแท้ ที่มันอยู่กับเรา ในตัวเรา เท่านั้นเลย
เยี่ยมตรงไม่สามารถวัดอะไรได้ แต่ปฏิเสธร่างกายไม่ได้
quotingเวลาจะอยู่ข้างเราก็ต่อเมื่อเราดูแลสุขภาพ
nevent1q…t8cs
ตั้งแต่มาวิ่งตอนเช้าได้สองอาทิตย์ เพราะบอกเพื่อนว่าอยากวิ่งเทรลเลยโดนไล่ให้ไปซ้อมวิ่งมาก่อน 🤣
สิ่งที่พบคือ 90% ของคนที่มาวิ่งอายุ 40++ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเพราะคนที่อายุเยอะขึ้นมักจะมีเวลามากกว่าคนที่กำลังตั้งตัวหรือต้องกำลังดิ้นรน แต่ในยุคนี้ที่ความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจมากที่สุดก็คือรากฐานของเราเอง และรากฐานของทุกคนก็คือสุขภาพกายและสุขภาพใจ
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่สุขภาพดีไม่ว่าสถานะปัจจุบันเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อเทียบเคียงกับคนที่สถานะใกล้เคียงกัน คนที่สุขภาพดีย่อมมีชีวิตที่ดีกว่าคนที่สุขภาพไม่ดี ซึ่งไม่ใช่แค่เพราะเขาร่างกายแข็งแรงกว่าเท่านั้นแต่เพราะ state of mind ของคนที่สุขภาพดีย่อมดีกว่าคนที่สุขภาพไม่ดีด้วย
คนที่สุขภาพดีย่อมตัดสินใจได้เฉียบคมกว่าคนที่สุขภาพแย่ อันนี้อาจจะเป็นความเชื่อผิดๆ ของเราเองคนเดียวก็ได้ แต่เราเชื่อเสมอว่าคนเรารู้ดีว่าตัวเองควรทำอะไรในทุกขณะที่ดำเนินชีวิตไป แต่การตัดสินใจที่ถูกต้องของเราโดนบดบังด้วยความกังวล ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความน้อยเนื้อต่ำใจและ ฯลฯ เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะตัดสินใจให้ดีขึ้นไม่ได้ต้องพยายามทำอะไรที่แปลกพิสดารเลยแค่เริ่มจากดูแลตัวเอง ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ แน่ละว่าทุกคนมีหนทาง มีโอกาสและปัจจัยต่างๆ ที่ไม่เท่ากัน ศักยภาพในการดูแลตัวเองของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน แต่ว่านี่ไม่ใช่การแข่งขัน เราไม่ได้ต้องแข่งกับใครเพื่อดูแลตัวเอง เราไม่ได้ต้องรีบร้อนเพื่อให้วิ่งถึงเส้นชัยก่อนใคร เพราะร่างกายกับจิตใจของเราจะอยู่กับเราไปจนกว่าจะตายจากกันเท่านั้น ถ้าสังคมดี สิ่งแวดล้อมดีย่อมทำให้เราดูแลตัวเองได้ดีกว่า แต่เราต้องยอมรับความจริงว่าเรารอให้คนอื่นมาช่วยเราดูแลสุขภาพตัวเองไม่ได้ เพราะคุณอย่าลืมว่าต่อให้ทุกอย่างเพียบพร้อม ในที่ที่ทุกอย่างเพียบพร้อมก็ยังมีคนไม่ดูแลสุขภาพ ในเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วทำไมเราถึงไม่ดูแลสุขภาพล่ะ เพราะการตัดสินใจมันอยู่ที่เราไง
แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยแวดล้อมย่อมมีผลต่อการตัดสินใจของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่สุดท้ายคนที่เลือกว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตก็คือเรา ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกบดบังด้วยความไม่สบายใจ ความกังวล ความลังเล ความรู้สึกไม่มั่นคงหรืออื่นๆ อีกมากมายแต่คนที่ลงมือทำก็คือเรา ต่อให้โลกนี้มันจะโหดร้ายกับเราแค่ไหนก็ตาม อย่างหนึ่งที่คุณต้องเชื่ออยู่เสมอไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่คือ คุณเป็นผู้ควบคุมการกระทำของคุณเอง เพราะไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าคุณควบคุมการกระทำของตัวเองได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อย่างอื่นในชีวิตคุณควบคุมไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม เพื่อนร่วมงาน ไม่มีเลย เราอาจจะพอถกเถียงกันได้ว่าแท้จริงแล้วเราควบคุมการกระทำของตัวเองได้แค่ไหน แต่มันป่วยการที่จะถกเถียงกันเรื่องนี้ เพราะการกระทำของเราเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เรามีโอกาสมากที่สุดที่จะควบคุมได้ เมื่อเทียบกับอย่างอื่นที่ควบคุมไม่ได้เลย และถ้าโลกนี้ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้วไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ด้วยรหัสดีเอ็นเอของเรา ด้วยสภาพแวดล้อมที่เราเติบโตและอื่นๆ เราก็แค่คิดซะว่า อ่อ เราถูกธรรมชาติกำหนดไว้แล้วว่าให้เชื่อว่าควบคุมตัวเองได้ เพราะไม่ว่าทางไหนจะเป็นจริง state of mind ของคนที่เชื่อว่าตัวเองควบคุมการกระทำของตนเองย่อมดีกว่าคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่มีสิทธิควบคุมอะไรเลย ฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเชื่อว่าเราควบคุมการกระทำของเราเอง เพราะถ้าเราไม่เชื่ออย่างนั้น สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของสภาพแวดล้อมและทุกสิ่งรอบตัวเราและเราก็จะไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย
ทางหนึ่งที่จะทำให้ความเชื่อว่าเราคือผู้ควบคุมชีวิตมั่นคงขึ้นคือการดูแลตัวเอง เพราะเมื่อหันมาสนใจตัวเอง ทำอะไรเพื่อตัวเองไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไปย่อมพอกพูนเพิ่มขึ้น วันนี้เราอาจทำได้แค่เลือกกินอาหารที่มันแย่น้อยลงสักหน่อย แต่ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ วันละเล็กวันละน้อย กำลังใจที่เราได้จากการทำอะไรเพื่อตัวเองจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น สิ่งเดียวที่คุณต้องยึดมั่นไว้เสมอมีเพียงแค่อยากยอมแพ้ เพราะชีวิตนี้เส้นชัยเดียวที่มีจริงคือความตาย นอกจากนี้แล้วทุกเส้นชัยล้วนเป็นแค่สิ่งชั่วคราว ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะพลาดกี่ครั้ง ล้มไปเท่าไรก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่ บางครั้งเราอาจจะลุกช้า บางครั้งอาจจะมีแผล แต่ถ้าเรายังไม่ตายจากโลกนี้ไปทางเดียวที่เราทำได้คือลุกขึ้นมาเดินต่อ ความต่างมีแค่คุณจะเป็นคนลุกขึ้นมาเองหรือให้สิ่งรอบตัวลากให้คุณลุกขึ้นมา
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่พยายามอย่างดีที่สุดแล้วในทุกๆ วัน เราจะรอดและเติบโตไปด้วยกัน 🥰
ปล. เริ่มจากวิ่งเทรลแล้วมันมาจบยังงี้ได้ไงวะ
#Siamstr