มีเรื่องจะประกาศครับ ถ้าสามารถแชร์ออกไปได้ก็ยินดีมากครับ
เป็นความตั้งใจตั้งแต่ก่อนงาน Thailand Bitcoin Conference 2024 ว่าจะเป็นงานสุดท้ายที่ผมจะใช้คำว่า ขนมคีโต
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา หมวกอีกใบนึงของผมคือ การถ่ายทอดความรู้ที่ศึกษามาในแขนงโภชนาการ และคำถามตลอดกาลคือ “อันไหนเป็นอาหารคีโต”
จริงอยู่ครับก็ยินดีตอบให้ได้ แต่ลึกๆมันก็มีความขุ่นๆนิดๆว่า หากเป็นขวบปีแรกของคีโตก็ยังพอเข้าใจ แต่ขณะนี้ก้าวเข้าวปีที่ 8 แล้ว อีกไม่เท่าไรก็ 10ปีคีโตในไทยแล้ว สิ่งแรกที่คนคีโตมองหาเวลาซื้ออาหารคือ ฉลากคีโต
แล้วพอเจอบางสินค้าแปะป้ายคีโต แต่มีวัตถุดิบที่ต่างจากกูรูต่างจากเจ้าพ่อเจ้าแม่คีโต ได้บัญญัติไว้ ก็เกิดความสับสนวุ่นวายทะเลาะเบาะแว้ง ว่าตกลงมันเป็นอาหารคีโตหรือไม่
ผมเลือกทางนี้ครับ หักดิบไปเลย
ต่อไปนี้ผมจะไม่ใส่คำว่า คีโต ในชื่อเรียกอาหาร ต่อไปนี้จะไม่มีชีสเค้กคีโต ดาร์คชอคกานาซคีโต หน้าไก่คีโต บลาบลาบลา ที่มีคีโตเป็นชื่อเรียก อีกต่อไปครับ พอกันทีกับสิ่งนี้
ของกินทุกอย่างที่ผมทำ จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ความสะอาด สุขอนามัย ฉลากสารอาหาร ใช้การคำนวนแบบเผื่อข้อผิดพลาด(บวก ไม่ลบ) ด้วยการใส่ Macro Nutrient ให้ในทุกเมนู !!!!
เพราะผมเชื่อว่า การกินคาร์บต่ำ เป็นการกินแบบ “ปกติ” การกินคาร์บมากก็เป็นการกินแบบ “ปกติ” เหมือนคนไม่ชอบกินผิก ไม่ชอบกินปลา ไม่ชอบกินเนื้อ อันนี้มันก็แค่คนไม่ชอบกินคาร์บสูงเกินไป แค่นั้นครับ เป็นการกินแบบปกติ ย้ำ เป็นการกินแบบปกติ คาร์บต่ำแบบคีโต เป็นการกินแบบปกติ ที่ควรเป็นมานานแล้วด้วย
การยัดทะนานคาร์บสูงมากๆ ในมุมมองผมคือ นี่แหละที่ไม่ปกติ
ทีนี้ความไม่ปกตินี้มันก็ไม่ผิดอะไรด้วย ถ้าคนกินไม่ปกติ นิยามไม่ปกติคือ ไม่ใช่คนทั่วๆไปเช่น นักกล้าม นักกีฬา ผู้ที่ใช้ “พลังงาน” สูงมากๆแลละต้องการใช้คาร์บ เพื่อการใดการหนึ่งโดยเฉพาะ ดังนั้นไม่มีอะไรที่ผิดเลยครับ ใครอยากกินอะไร กิน ตราบใดที่เรารู้ตัวเราเองว่าทำอะไร
ผมอยู่ในวงการธุรกิจทั้งอาหารและการโฆษณา เข้าใจดีครับว่าการแปะป้ายคีโต คือการช่วยให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น ช่วยในการขายให้สะดวกขึ้น แต่ ผมพอแล้วครับ เหรียญอีกด้านนึงของป้ายนีคือ มันไม่ได้ช่วยให้คนคีโต เรียนรู้การทำความเข้าใจด้านสารอาหารเท่าที่ผมคาดหวัง เพราะถ้าไม่มีป้ายพวกนี้ คนคีโตหลายๆคนถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว แล้วทุกวันนี้เหรียญมันออกด้านนี้ซะเยอะด้วย
นอกจากนี้ประเด็นที่หลีกไม่ได้คือ การหมอบคลานเข้ารับวัตถุดิบคีโตจากกูรู ซึ่งไม่เคยได้เหตุผลในการ “ห้าม” ของหลายๆอย่างเช่น สารหวานบางประเภท แครอท ฟักทอง(ตัวนี้มีคนถามและส่งมาให้ดูเยอะ เดี๋ยวจัดให้เคลียร์ๆ)
ซึ่งใครที่เลือกกินสิ่งนี้แล้วแชร์ความรู้ให้คนคีโตว่ากินได้ ก็จะโดนตรรกะวิบัติจากกูรูด้วยการแปะคำว่า “อยากกิน เลยชวนคนอื่นกิน ชวนคนให้ไม่เคร่ง” เป็นตรรกะวิบัติที่เรียกว่า Ad Hominem หรือ การโจมตีที่ตัวบุคคล นั่นเอง (ref : https://siripun.com/2023/06/09/logical-fallacies-2-ad-hominem ) ทั้งที่ถ้าจะนิยามคำว่าเคร่ง สิ่งที่กูรูให้ทำ ไม่สามารถมีคำตอบที่สร้างสมการสมดุลได้ (ทำไม A ได้แล้ว B ไม่ได้ถ้าเทียบบริบทเอามาชนกันชัดๆเลย)
จริงๆก็อยากรณรงค์ให้ผู้ประกอบการอาหารคีโต ร่วมโครงการนี้ แต่เข้าใจว่ามันคงไม่สามารถทำได้ เพราะอาจจะมองในมุมที่ต่างกัน ผมเข้าใจในสิ่งนั้นครับ แต่มุมของผมคือ การทำอาหารคีโตให้กลับมาอยู่ในประเภทอาหารปกติ จะยิ่งขยายมูลค่าตลาดออกไปได้มากกว่าทุกวันนี้
ตลาดคีโตมันซบเซา เพราะเราทำให้มัน “ประหลาด” ทำให้มันกลายเป็นของ “ไม่ปกติ” พอได้น้ำหนัก หุ่น ลูก สมปรารถนาแล้วก็ถวิลหาการ “ออกไปกินปกติ” นั่นคือการทำให้ตลาดหายไปเรื่อยๆเพราะพวกคุณเองครับ ผมกลับมองว่าทำให้คีโตคืออาหารปกติ แล้วกินกันไปตลอด ไม่มีการขอออกจากเผ่า หานเป็ดอะไรคือทางที่ดีกว่า ได้สุขภาพที่ดีกว่า
คีโตคือการกินปกติ ไม่ควรต้องมาแยกเป็นชนเผ่าอะไรเลย คีโตคือคนเมือง คนมีความรู้ คือ วิทยาศาสตร์ คือความฉลาดในการเลือกสารอาหาร อย่าไปยัดเยียดความ “ไม่ปกติ” ให้อาหาร “ปกติ”
ก็เลยคิดว่า ไม่เป็นไร ร้านคีโตร้านใดอยากร่วมเรายินดี แต่ถ้ามองว่าไม่เอาด้วยก็ยินดีเหมือนกัน เพราะการค้าเสรี อยากทำอะไรก็ทำได้ครับ ในส่วนตัวผม เราทำของเรา เราเริ่มของเราเลยก็ได้ เพราะเส้นทางที่ผ่านมา เราก็เดินอยู่ในเส้นทางของเราอยู่แล้ว และผมเชื่อใน Proof of Work ครับ ผมสามารถทุ่มแรงกายแรงใจ ลงในอาหาร ลงในการสอน ให้คนตระหนักถึง “สารอาหาร” มากกว่า “ป้ายฉลาก”
แล้ววันนึง มันจะส่งผลที่ impact ครับ ผมเชื่ออย่างนั้น Proof of Work สามารถส่งต่อได้ และ พลิกโลกได้ มานับต่อนับแล้ว
ทุกวันนี้ผมทุ่มเนื้อหาด้าน ฉลากอาหาร เพื่อให้คนหัดอ่าน รู้เท่า รู้ทัน มันก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่า ผมไม่ควรแปะคำว่าคีโต ลงไปเลย มันเหมือนไปสปอยให้คนลืมพื้นฐานสำคัญ
ไม่ใช่ว่าไม่ง้อคนคีโตนะ คนทำการค้าต้องยินดีกับทุกการค้าอยู่แล้ว แต่ผมกลับมมองว่า ตลาดของผมขอเป็นตลาดที่มีการอ่านฉลาก มีการหัดพิจารณาสารอาหาร ดูคาร์บเป็น เลือกวัตถุดิบที่เหมาะกับแต่ละคน มากกว่าวัตถุดิบที่ต้องได้รับการโปรดจากกูรู
ผมมองว่า คนกินคลีน คนกินไฮโปรตีน หรือแม้แต่แค่คนที่ไม่อยากกินน้ำตาล ก็จะสามารถกินอาหารที่ผมทำได้ ไม่โดนปิดกั้นจากป้ายคีโต ที่โลกประเคน mind set ให้ว่าต้อง high fat เท่านั้น
ซึ่งถ้าผมทำอาหารในแบบของผม + คนกินพิจารณาได้เองว่าสารอาหารเหมาะกับเขาไหม = การกินแบบมีความรู้จริง เหมาะกับตัวเองจริงๆ
ถือว่าเป็นอีกเส้นทางที่ผมต้อง fight for ครับ ถ้าสำเร็จ มันจะช่วยให้คนในสังคมหลุดกรอบ และมองสารอาหารได้ ดูแลสุขภาพได้ ด้วยพื้นฐานความรู้ที่มากขึ้นครับ ไม่ใช่ทางที่สบายแน่นอนครับ แต่พวกคุณจะได้ประโยชน์ติดตัวไปแน่ๆ
ถามว่าทำเพื่อการค้าใช่ไหม ก็ใช่ครับ การค้ามันคู่กับโลก ผมไม่ค่อยเข้าใจในมุมของการต้องการอะไรฟรีๆอยู่ตลอด ถ้าคุณเคารพใน value แล้วยินดีส่งต่อ value for value คุุณจะยินดีในการค้าที่ไม่ยัดเยียด (fiat) คุณจะยินดีในการส่งต่อ value ด้วยคุณค่า คุณจะยินดีในการมองคุณค่าของ “เวลา” ที่ผู้สร้างผู้ทำลงทุนลงไป (เวลาคือทรัพยการที่มีค่าที่สุดในโลก) แล้วถ้าคุณให้เกียรติกับสิ่งเหล่านี้ คุณจะไม่อยากได้มันฟรีๆ คุณจะกระดากใจที่จะหยิบมันมาเปล่าๆ นี่คือเหตุผลที่ผมไม่เคยมองว่า การทำการค้า มันจะเลวร้ายอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมจะไม่ทำ FIAT keto ครับ ผมจะไม่เร่งเร้า ไม่ขู่เข็ญ ไม่ใช้ตรรกะประเภท “ของมันต้องมี” ผมจะแบไต๋แฟร์ๆด้วยสารอาหารครับ
แม้มันจะแลกมาด้วยการขาดโอกาส จากป้าย “คีโต” ก็ตาม แม้คนคีโตจะมองว่า ไม่มีป้ายคือไม่คีโตก็ตาม แม้จะไม่ได้รับการรับรองจากกูรูใดๆ ว่า “คีโตกินได้” ก็ตาม ถ้าจะให้สังคมมีการเรียนรู้สารอาหารขึ้นได้ ผมยอม
#pirateketo #ตำรับเอ๋ #siripun #siamstr