แล้วก็ดูเหมือนว่าเกือบ 1 เดือนตั้งแต่เริ่มทำ ผมจะเปลี่ยนไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว
ย้อนกลับไป Note ล่าสุดเรื่องการทำคลิป ผมเลือกที่จะกำหนดขั้นต่ำของแต่ละกิจกรรม คือ
- ฝึกสมาธิ อย่างน้อยก็โฟกัสที่การหายใจ เข้า-ออก 1 ครั้ง
- เขียนขอบคุณ อย่างน้อยก็หนึ่งเรื่องง่ายๆ (อย่างการได้ลืมตาตื่นมาใช้ชีวิตอีก 1 วันก็ดีแค่ไหนแล้ว)
- บริหารร่างกาย อย่างน้อยก็ดันพื้น 1 ครั้ง ลงและขึ้นช้าๆ โฟกัสการหดเกร็งและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ
ทำให้การเริ่มต้นมันง่ายที่สุด แฃ้วครั้งต่อไปจะง่ายตาม บางวันผมก็นั่งหายใจนิ่งๆ นาน 10 นาที บางวันก็นั่งเขียนขอบคุณ 1
ไม่ใช่แค่ช่วยให้ผมรู้สึกสงบ แต่มันยังฝึกให้ผมเลือกมองหาสิ่งดีๆ ในสิ่งที่ผมมีเรื่องแต่ยาว 2 ย่อหน้า บางวันผมดันพื้น 50 ครั้งในรวดเดียว(ทำแบบนี้ครั้งล่าสุดตอนปี 2)
การเริ่มต้นวันหลังตื่นนอนด้วยกิจกรรมพวกนี้ ทำให้ทั้งวันของผมค่อนข้างราบรื่นขึ้นมากเลยทีเดียว และผมเริ่มมีการเพิ่มกิจกรรมอื่นเข้ามา อย่างการตากแดดและ Grounding
ทั้งหมดนี้เป็นกิจวัตรยามเช้าที่ผมอยากแนะนำให้หลายคนทดลองดู โดยเฉพาะการฝึกเขียนขอบคุณ หรือการรำลึกเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองอย่างที่น้องปั๊งปั๊งทำ ที่จะทำให้ทั้งวันของคุณเป็นอีกหนึ่งวันคุณภาพ ;)
#Siamstr #SiasmtrOG
quoting note1lhf…u4yxวันที่ไม่มีความสุขมันมีจริงๆหรือ
เมื่อคืนผมกับลูกชายนอนอ่านหนังสือกันตามปกติ ยังไม่ทันจะพ้นหน้าแรก นางก็บรรจงเล่าเรื่องของนางทันที พักหลังนางเป็นบ่อย นางพยายามตามผมไปอ่านนิทาน แต่ถึงเวลาชอบชวนคุย ซึ่งผมก็ชอบหลอกถามนู่นนี้ แต่เมื่อคืนเหมือนผมโดนหลอกถามมากกว่า
นางเล่าว่า
“วันนี้ปั๊ง happy มากเลย ปั๊งจำที่ต้องไปพูดหน้าห้องได้แล้ว 2 sentence แล้วปั๊งก็พูดได้เร็วมากกก”
“วันนี้ปั๊ง happy ปั๊งได้ของขวัญจากคุณย่าด้วย”
“วันนี้ปั๊ง happy ปั๊งได้วาดรูปด้วย”
“วันนี้ปั๊ง happy ปั๊งช่วยหอยทาก”
“วันนี้ปั๊ง happy ……”
นางเล่าสิ่งที่นางทำวันนี้มาอีก3-4อย่าง
แล้วนางก็หันมาถามผม “พ่อเล่าให้ปั๊งหน่อย วันนี้พ่อทำอะไร happy บ้าง”
เอาอีกแล้ว!! นางมามุกนี้อีกแล้ว ฉันไม่รู้โรงเรียนนางสอนมายังไง แต่นางจะรู้มั้ยว่านี่มันคือศิลปะการเปิดใจคนแบบโกงๆเลย
ถ้าอยากรู้เรื่องเค้า เล่าเรื่องของเราให้เค้าฟังก่อน
ถ้าอยากรู้ความลับเค้า ให้เล่าความลับของเราให้เค้าฟังก่อน
บังเอิญวันนี้เป็นวันหยำเปของผมพอดี วุ่นวายเรื่องเอกสารอยู่กับกรมแรงงาน เทศบาล สรรพากร ประปา ไฟฟ้า ซึ่งวันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้าไป และวันนี้ก็ยังไม่จบเลยซักที่ แต่ละเทศบาล แต่ละหน่วยงานขอเอกสารไม่เหมือนกัน เข้าไปแต่ละครั้งก็พูดไม่เหมือนกันอีก เหมือนกันเรื่องเดียวคือ พูดจากับเราแบบเหมือนเรากินหญ้า เรียกว่าวันนี้ผมหงุดหงิดทั้งวัน เป็น bad day เลย
ผมพยายามหาคำตอบให้ลูกชายเท่าที่พอจะนึกได้ และนางก็คะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้
ปั๊งปั๊ง : “วันนี้พ่อทำอะไร happy บ้าง ?”
ผม : “พ่อ happy วันนี้พ่อได้นอนคุยกับปั๊ง”
(ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ)
ปั๊งปั๊ง : ”แล้วพ่อ happy อะไรอีก?”
ผม : ”พ่อ happy วันนี้พ่อได้กินชาบู”
(เจ้านี้เต็มตลอด วันนี้โชคดีจองได้)
ปั๊งปั๊ง : ”แล้วพ่อ happy อะไรอีก?”
ผม : “พ่อ happy วันนี้พ่อได้นั่งเล่นกีตาร์”
( ขอบคุณที่ราชการแม่งเลิกงาน4โมง กุยังมีเวลาเหลือ)
ปั๊งปั๊ง : ”แล้วพ่อ happy อะไรอีก?”
ผมเริ่มนึกไม่ออกแล้วและนางเค้นผมจริงจังมาก
ผม : “พ่อได้ขับรถ พ่อชอบขับรถ”
(นึกไปถึงว่าไอ้รถเราคันนี้วันก่อนมันไปความร้อนขึ้นอยู่บายพาสชลบุรีตอนตีห้า ในขณะที่เราต้องรีบไประยองด้วย วันนี้มันขับได้ดีเราก็มีความสุขนะ)
ปั๊งปั๊ง : ”แล้วพ่อ happy อะไรอีก?”
ผมหมดแล้ว นึกอะไรไม่ออกแล้ว ในใจคิดว่าอะไรก็ตอบไปก่อน
ผม : “วันนี้ขนมเรายังขายได้”
ทันทีที่ผมพูดไป มันเหมือนผมเปิดกะโหลกตัวเอง มันพาผมกลับย้อนไปในวันที่ชีวิตแม่งโคตรเลวร้าย ใช่..! เราควรยินดีกับมันจริงๆด้วย
“มันไม่มีหรอกวันที่ไม่มีความสุขเลย”
จริงๆแค่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ควรยินกับมันแล้วเราควรยินดีที่ทุกอย่างมันเป็นปกติของมันอยู่
“ความเป็นปกติคือความสุข”
ผมนึกไปถึงหนังสือเรื่อง “พีระมิด 3 สุข” ของคุณหมอ ชิอน คาบาซาวะ ว่าด้วยการทำงานของฮอร์โมนแห่งความสุขในร่างกาย
บทนึงในหนังสือเชียร์ให้เราเขียนเรื่องที่ทำให้เรามีความสุข 3 เรื่องก่อนนอนทุกวัน แม้ว่ามันจะเป็นวันเลวร้ายแค่ไหน มันจะทำให้เราหลับลงไปพร้อมกับความรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดี ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปจนถึงการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายซึ่งจะส่งต่อภาพรวมของสุขภาพราางกายและจิตใจอย่างมาก
(ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในหนังสือ แต่เป็นหนังสือที่ดีมากและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของบิทคอยเนอร์เลย อย่างน้อยก็ผมคนนึง ใครยังไม่อ่านผมเชียร์)
ลูกชายผมเหมือนจะจบแค่นี้ แต่เค้าหันมาพูดอีกว่า “แต่มีเรื่องที่ปั๊งไม่ happy อยู่นิดนึง ปั๊งช่วยหอยทากตัวนึงไว้ไม่ทัน มีคนเอามือไปทับมันกระดองแตกเลย ปั๊งไม่ happy “
แทนที่ผมจะมานั่งปลอบใจลูกชายว่าเรื่องไม่ happy ก็อย่าไปใส่ใจมัน แต่ประโยคสุดท้ายนี้กลับพาผมไปคิดถึงหลักปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์
นี่มันเกินเรื่องของแค่ทำชีวิตให้มีความสุขไปแล้ว นี่มันการตามรู้ตามดูสภาพวะจิตใจตนเอง เข้าใจสภาวะความสุข เข้าใจสภาวะความไม่สุข
ผมยอมรับว่ามันดูพยายามเชื่อมโยงเกินไป แต่ลองคิดตามผมดู
ลูกชายผมเป็นเด็กอายุ 7 ขวบ ธรรมดาๆมากเหมือนเด็กทั่วไป ดื้อ อยากเล่นเกมส์ อยากดูทีวีควบคุมตัวยังไม่ได้ในอีกหลายเรื่อง แต่เข้าใจสภาวะจิตใจตัวเอง และตามดูทั้งวันด้วย ถึงได้มีเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟังเยอะแยะ
อย่างเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้จะมาอวดว่าลูกผมพิเศษ แต่ผมกำลังคิดว่า
หรือว่านี่แหละคือธรรมชาติมนุษย์ มีความสนใจใคร่รู้ทั้งเรื่องภายนอกและเรื่องภายในจิตใจอยู่แล้ว
หรือว่านี้คือธรรมดามนุษย์ มีความอยากค้นหาสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตใจอยู่แล้ว
แต่เพราะบริบทแวดล้อมรึเปล่าที่ทำให้เรายิ่งโตขึ้นมา เราจะยิ่งรักความสุข ยิ่งเกลียดความทุกข์
ทั้งๆที่เราก็เห็นว่าทุกสภาวะมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีสภาวะไหนอยู่กับเราตลอด และเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเราถึงอยากให้ความสุขมันอยู่ต่อแต่ให้ความทุกข์มันผ่านไป
หรือไม่ว่าบริบทแวดล้อมจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ มนุษย์ก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป ?
เมื่อลูกชายเค้นเรื่องที่ทำให้ผม happy วันนี้ได้เยอะพอใจแล้ว
นางก็หันไปถามแม่นาง
“ แม่เล่าให้ปั๊งหน่อย วันนี้แม่ทำอะไร happy บ้าง ?”
#Siamstr
// ผมเข้าใจดีว่ามันยาวและมีหลายประเด็นเกินแต่ผมสบายใจจะเล่าแบบนี้แหละ
// ขอบคุณน้องรัก Chawapon (npub14xp…mrt6) ผู้มอบหนังสือ” พีระมิด 3 สุข” มันทำให้ผมบาลานซ์ชีวิตได้ดีขึ้นจริงๆ
// เมื่อวานเป็นวันเกิดลูกชายผมพอดี
เฮ็ดบีดี ด.ช.เป็นกลาง ของให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม 🥰🥰🥰
// ยาวแบบนี้ damus แม่ง muted กุแน่นอน ขออนุญาต repost ไว้ล่วงหน้าเลย